27 ตุลาคม 2552

นาซ่าเผย 2012 "โลกาวินาศ"หรือไม่?

[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] เดวิด มอร์ริสัน (David Morrison) นักวิทยาศาสตร์นาซ่า (NASA) เปิดเผยถึงข่าวที่กำลังแพร่สะพัดไปทั่วอินเทอร์เน็ตที่ว่า โลกจะถึงคราวสิ้นสุดลงในปี 2012 ด้วยเหตุผลทางดาราศาสตร์เป็นแค่"ข่าวลือ"เท่านั้น โดยด็อกเตอร์มอร์ริสันระบุว่า อาการ"วิตกจักรวาล" (cosmophobia) ถูกยัดเยียดโดยเว็บไซต์วิทยาศาสตร์"ปลอม" และผู้ที่พยายามจะหาเงินจากความไม่รู้ของสาธารณชน..

ความเชื่อที่แพร่กระจายอยู่บนเน็ตที่ว่า วันที่ 21 ธันวาคม 2012 จะเป็นวันโลกาวินาศ (doomsday) เนื่องจากเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในจักรวาลจะทำลายโลก กลายเป็นเรื่องหลอกลวง โดยคำยืนยันดังกล่าวมาจากด็อกเตอร์เดวิด มอร์ริสัน นักวิทยาศาสตร์นาซ่า ซึ่งข้อสรุปของคำอ้างต่างๆ และการโต้ตอบของนักวิทยาศาสตร์ที่มีต่อเรื่องดังกล่าว กำลังได้รับการเผยแพร่โดยสมาคมดาราศาสตร์แห่งภาคพื้นแปซิฟิก

หลาย เดือนที่ผ่านมา ทางนาซ่า และนักบินอวกาศหลายคนได้รับจดหมาย และอีเมล์แสดงความวิกตกังวลจากข่าวสารที่มีการเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตถึงความ เป็นไปได้ที่โลกจะคราววินาศ และความสูญเสียของชีวิตมนุษย์อย่างมากมายในปี 2012 เหตผลและเงื่อนไขที่จะทำให้โลกแตกได้รับการนำเสนออย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการพุ่งชนของดาวเคราะห์ชื่อว่า Nibiru จุดดับบนดวงอาทิตย์ที่เกิดขึ้นอย่งต่อเนื่อง ตำแหน่งใหม่ของการจัดวางศูนย์กลางกาแล็กซี่ และอื่นๆ อีกสารพัดเดวิด มอร์ริสัน บัญญัติอาการหวาดวิตกต่อเหตุการณ์ดังกล่าวว่า "cosmophobia" ซึ่งเกิดขึ้นกับผู้คนทั่วโลกในวงกว้าง

ด็อก เตอร์ มอร์ริสัน ผู้เชี่ยวชาญระบบสุริยจักรวาล (solar system) ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก (และการชนของดาวเคราะห์) และเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทำหน้าที่เผยแพร่ข่าวสารของนาซ่า บริการ "Ask an Astobiologist" โดยเขาจะตอบคำถามต่างๆ ให้กับสาธารณชน ซึ่งเขาได้รับคำถามมากมายเกี่ยวกับปี 2012 โลกาวินาศจนรู้สึกว่า เขาต้องสืบหาต้นตอ และความจริงในเรื่องนี้ ประเด็นที่เขาให้ความสนใจมากที่สุดในการค้นหาก็คือ ผู้แพร่กระจายหลายรายเริ่มต้นจากภาพยนต์ "2012" ที่มีกำหนดฉายในเดือนพฤศจิกายน โดยการสร้างเว็บไซต์วิทยาศาสตร์"ปลอม" และกระตุ้นให้ผู้คนค้นหาคีย์เวิร์ด "2012" บนเว็บ ซึ่งเว็บไซต์ส่วนใหญ่จะที่ค้นพบได้จะเต็มไปด้วยข้อมูลไร้สาระ และความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โดยเฉพาะผู้ที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับความหายนะที่พยายามจะขายหนังสือของพวก เขา

บท ความของมอร์ริสันจะอยู่ในรูปของคำถามและคำตอบ ตามด้วยแนะนำแหล่งข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่ผู้อ่านสามารถค้นหาเกียวกับเหตุผลที่ ว่า ทำไมถึงไม่มีการพูดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดความหายนะในปี 2012 มันมีเหตุผลมากมายที่น่ากังวลเกียวกับอนาคตของโลก แต่ที่แน่ๆ ไม่มีเหตุผล หรือกำหนดช่วงเวลาที่โลกจะแตกในปีนั้น ตัวอย่างแหล่งข้อมูลที่แนะนำ เพื่อแสดงให้เห็นว่า สิ่งแปลกๆ หรือเหตุการณ์ประหลาดต่างๆ เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.astrosociety.org/education/resources/pseudobib.html

ที่มา
http://www.arip.co.th/news.php?id=410173

ไขปริศนา Planet X ดาวเคราะห์ลึกลับในระบบสุริยจักรวาล!! ฤาโลกจะสิ้นในปี 2012 !!

P L A N E T X

*โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน
**บทความนี้เป็นการนำเสนอข้อมูลเพื่อความบันเทิงใจ อาจจะมี
ข้อ ความที่ขัดแย้งเ้รื่องศาสนา แต่มิได้มีเจตนาจะลบหลู่หรือดูหมิ่นศาสนาใดๆ ถ้าบทความนี้มีอะไรที่ทำให้ไม่พอใจต้องขออภัย

เนื่องด้วยเรื่องราวของดาวปริศนา (Planet X) ยังคงเป็นที่ถกเถียงและหาทางพิสูจน์กันอยู่ว่า ไอ้ดาวลึกลับในตำนานบทนี้มันมีอยู่จริงหนือไม่? และถ้ามี ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน? และเนื่องด้วยมันยาวมากๆ ผมจึงต้องแบ่งหัวข้อย่อยออกเป็นสองส่วนคือ ภาคตำนานในอดีต และภาคข้อเท็จจริงในปัจจุบัน เอาล่ะ..พล่ามมาซะยืดยาว ผมจะนำเสนอภาคข้อมูลเท็จจริง ณ ปัจจุบันก่อนละกันนะครับ...(ปล.ก็อปเค้ามาอีกทีและแก้ไขใหม่ ให้อ่านเข้าใจง่ายขึ้น)

เนื่องด้วยความสงสัยของตัวผมและใครอีกหลายๆคนว่าทำไมปี 2012 จึงมีข่าวลือเกี่ยวกับวันสิ้นโลกมากมายเหลือเกิน!!! บาง แหล่งก็อ้างน้ำท่วมจากเหตุโลกร้อน บางแหล่งก็อ้างไบเบิ้ลเพราะพระเจ้ากำหนดมา แต่มีสิ่งที่นึงที่มีทั้งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์พร้อมเกี่ยวปรากฎการณ์ที่อาจ หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องนี้คือเรื่อง ดาวปริศานาดวงที่ 12 ของ ระบบสุริยะจักรวาล (นับตามแบบของชาวสุเมเรียน) ถ้าใครได้พอดูบทความปี 2002 จะได้ทราบว่า นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ ดาวดวงที่ 12 ขึ้นมาอยู่ในระบบสุรยะจักราลเรา ดื้อๆ แต่ความเป็นจริงนักดาราศาสตร์รู้จักดาวนี้มาตั้งแต่ปี 1982 แล้วซึ่งเป็นข่าวใหญ่โตมากช่วงเดือน พฤษภาคม เพราะผมก็ได้ดูเหมือนกัน มันคือดาวที่มีชื่อตั้งทางวิทยาศาตร์ว่า นิบิรุ (Nibiru) และด้วยหลักฐานโบราณวัตถุและนักโบราณคดีได้กล่าวไว้เนืองๆ ว่า... สิ่งของที่ไม่สามารถอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ได้เกิดจากดาวดวงนี้ แต่สิ่งที่เรารับรู้คือเจอดาวเคราะห์ดวงใหม่ ที่อาจสำคัญมากๆๆ ทำไมผมถึงกล่าวอ้างเช่นนั้น สิ่งที่เราไม่รู้มันคือสิ่งนี้ครับ.... ดาวดวงนี้ทุนเดิมไม่ได้อยู่ในระบบกาแล็คซี่ทางช้างเผือกมาแต่เนิ่นๆ อยู่แล้ว แต่... มีวงโคจรกว้างใหญ่ไพศาลมาก จนมาทับซ้อนลงบนกาแล็คซี่นี้ แปลว่า... ที่นักวิทยาศาสตร์เห็นเพิ่มมาดวงก็แปลว่ามันโคจรเข้ามาใกล้กาแล็คซี่เราสินะ ถูกครึ่งเดียวครับ ความจริงมันเเข้ามาทับวงโคจรทั้งแถบเลย เส้นทางการเดินทางของวงโคจรดาว นิบิรุ มีความเป็นไปได้ที่มันจะโคจรมาทับเส้นเดียวกับวงโคจรของโลกเลยล่ะครับ ซึ่งนั่นก็แปลว่า... มันมีสิทธิชนโลกใด้!!

มันเข้าใกล้มาจริงเร้อ?
เส้นทางวงโคจร ทำให้เรารู้ได้ว่าถ้าเมื่อก่อนเราส่องดูดาวบริเวณทิศใต้สุดของดาวโลกเราจะ เห็นมัน แต่ต้องใช้กล้องส่องทางไกลช่วย แต่ปัจจุบันนี้ ปีนี้สามารถเห็นได้ด้วยเปล่าแล้ว!! และสำหรับคนที่อยากเห็นแต่ไม่มีตังไปออสเตรเลียหรือประเทศอะไรที่อยู่ทางใต้ ของโลกนะครับ แนะนำให้ลองใช้โปรแกรม googleSky ดู ท่านจะเห็นเป็นวงแดงๆ อยู่วงเดียวทั้งท้องฟ้า นั่นหละครับ นิบิรุ... แล้วทำไม? มันเกี่ยวอะไรกับโบราณสถานและวัตถุในอดีตหละ นักโบราณฯ สันนิษฐานว่า นิบิรุเคยโคจรเข้ามาใกล้ทีนึงแล้วในเมื่อหลายแสนปีก่อน หลายหมื่นปีก่อน และหลายพันปีก่อน (ในช่วงพระคริสต์นั่นเอง) หากดาวดวงนี้โคจรมาที่ระบบสุริยะของดวงอาทิตย์อีกครั้ง ซึ่งกำลังจะเกิดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ มันจะทำให้เกิดมหันตภัยชนิดโหดสุดยอด เพราะแกนของดาวมีสนามแม่เหล็กอยู่ ซึ่งมันจะทำปฎิกิริยากับสนามแม่เหล็กโลก อาจจะทำให้เกิดสภาพอากาศแปรปรวนครั้งใหญ่ เกิดภัยพิบัติธรรมชาติ เกิดภาวะน้ำขึ้นกระทันหัน ซุปเปอร์สึนามิ แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ เกิดพายุต่างๆ นาๆ และอื่นๆนับไม่ถ้วน!! และเค้าคาดการณ์ไว้แล้วว่าในปี 2012 เราสามารถจะเห็นดาวนิบิรุ ใหญ่ขนาดดวงอาทิตย์ได้เลย เพราะมันเข้าใกล้เรามากแล้ว ข้อมูลอาจจะยังไม่แน่นพอ เพราะ NASA ยังปิดข่าวอยู่ แต่นักดาราศาสตร์ชั้นนำของประเทศต่างๆออกมาอธิบายเรื่องทฤษฎีความเป็นไปได้ กันอย่างจ้าละหวั่น ข้อมูลที่ยังขัดแย้งกันอยู่คือ บางแหล่งบอก ดาวฤกษ์ และบางแห่งบอกว่าเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่ประมาณดาวพฤหัส!!! (ดาวพฤหัสเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบนี้)

Data of Nibiru
คาดหมายว่าเป็นสมาชิกของระบบสุริยะ ตามการคาดหมายเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 9(นับตามแบบสากล โดยได้ตัดดาวเคราะห์แคระพลูโตออกไป) เนื่องจากนักดาราศาสตร์ได้ศึกษาการโคจรของดาวยูเรนัสและพบว่าวงโคจรของ ยูเรนัสมีลักษณะที่ผิดปกติอยู่พอสมควรจึงคาดว่าน่าจะมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ ที่สามารถส่งแรงโน้มถ่วงรบกวนการโคจรของยูเรนัส จึงได้มีการพยายามค้นหา และได้พบดาวเนปจูนแต่การค้นพบนี้ก็ยังไม่สามารถอธิบายความผิดปกติทั้งของ ยูเรนัสและเนปจูนจึงได้มีการพยายามค้นหาเพิ่มเติมและได้พบพลูโต แต่พลูโตเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดเล็กมากทำให้ยังไม่สามารถอธิบายความผิดปกติ ของการโคจรของยูเรนัสและเนปจูนได้จึงได้มีความพยายามที่จะค้นหาดาวเคราะห์ ดวงที่ 9 ของระบบสุริยะอีกครั้ง ความพยายามครั้งนี้ไม่เพียงแต่แค่ค้นหาโดยการสังเกตเทหวัตถุในท้องฟ้าเท่า นั้น ยังมีความพยายามในการค้นหาโดยการศึกษาบันทึกโบราณที่อาจจะบันทึกถึง ปรากฏการณ์ที่อาจจะสรุปได้ว่ามีการเคยพบเห็นดาวเคราะห์ลึกลับดวงนี้อีกด้วย (Planet X นี้เป็นชื่อที่ผู้คนหลงใหลเพราะนัยหนึ่งหมายถึงดาวเคราะห์ดวงที่ 9 อีกนัยหนึ่งหมายถึงดาวเคราะห์ลึกลับที่ไม่เคยมีใครพบเห็น)
ขนาด: ใหญ่กว่าโลก 5 เท่า = ประมาณดาวพฤหัสบดี
มวล: ไม่ทราบ
บริวาร: ไม่ทราบ
คาบการโคจร: ประมาณ 3,600 ปี
วงโคจรคล้ายดาวหาง จุดที่ห่างจากดวงอาทิตย์ที่สุดอยู่ในแถบกลุ่มเฆมออร์ด จุดที่ใกล้ดวงอาทิตย์น่าจะเป็นบริเวณแถบดาวเคราะห์น้อยระหว่างดาวพฤหัสบดี และดาวอังคาร
จุดกำเนิด: ไม่ใช่สมาชิกดั้งเดิมของระบบสุริยะ แต่ถูกดวงอาทิตย์จับไว้เป็นบริวารเมื่อ 500,000 ปีก่อน คาดว่าน่าจะหลุดมาจากระบบสุริยะของดาวซีรีอุสA
ลักษณะพิเศษ: เป็นดาวเคราะห์ที่อาจจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เช่นเดียวกับโลก
ผลกระทบที่มีต่อโลก: ในอดีตมีความเป็นไปได้สูงเคยโคจรเฉียดใกล้โลกทำให้ดวงจันทร์น้อยที่เป็นดาว บริวารชนโลกทำให้เกิดเป็นมหาสมุทรแปซิฟิค ปัจจุบันน่าจะมีวีถีโคจรที่แน่นอนแล้ว คาดว่าไม่ถึงกับชนโลกแค่เฉียดๆ แต่จะสร้างหายนะให้โลกอย่างมหาศาล

***ข้อมูลเวอร์ชันเต็มจะอยู่ในเว็บของ BBC ที่จะมีการพูดถึงข้อจำกัดของการใช้วิธีการหาอายุด้วยคาร์บอน-14 ด้วยครับ -นี่ก็คือทั้งหมด ของข้อมูลที่ผมได้มา ซึ่งมันมีความยืดหยุ่นสูง และอัพเดทได้ตลอดเวลาหากใครสนใจเพิ่มเติม สามารถค้นหาข่าวสารใหม่ๆได้จากทางอินเตอร์เน็ต!

เอาล่ะครับเพื่อไม่ให้เสียเวลาอันมีค่า เรามาติดตามความเป็นมาของอภิมหาตำนานสะท้านโลกนี่กันนะครับ ผมคัดลอกเค้ามาอีกทีจึงไม่สามารถทราบได้ว่าเป็นตำนานของชนเผ่าโบราณเผ่าไหน กันแน่ ซึ่งผมคาดว่าน่าจะเป็นของเผ่ามายันนะครับ ตำนานนี้ มีอยู่ว่า...

**คำ เตือนโปรดใช้วิจารณญานในการอ่านและคิด วิธีที่แนะนำควรจะลองทำใจให้เป็นกลางก่อนอ่าน เพราะมีอยู่ไม่น้อยที่หมิ่นเหม่ต่อระบบศาสนาเป็นอย่างมาก** (...แล้วน้องเอามาให้พี่ลงทำไมคะ T^T หมิ่นเหม่ต่อหน้าที่การงานพี่ไหมนี่)

ตำนานโบราณที่เกี่ยวข้อง
เมื่อกาลครั้งหนึ่งในอดีตประมาณ 500,000 ปีล่วงมาแล้ว โลกของเราหรืออีกนามหนึ่งเทียมัตเป็นสถานที่ที่ต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้น เชิง ชื่อเทียมัตนี้เป็นชื่อดั้งเดิม ส่วนคำว่าโลกหรือไกอาเป็นชื่อที่เพิ่งใช้เมื่อเร็วๆ นี้ เมื่อ 500,000 ปีก่อนเทียมัตไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่อยู่ในปัจจุบันนี้ วงโคจรของมันอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์คือ ณ ตำแหน่งระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี ส่วนดาวอังคารนั้นจะโคจรรอบดวงอาทิตย์ในระยะที่ใกล้กว่าปัจจุบันนี้ซึ่งทำ ให้ดาวอังคารเหมาะที่จะใช้อยู่อาศัยได้เพราะมีอุณหภูมิพอเหมาะและมีน้ำในรูป ของของเหลว ข้อมูลเหล่านี้ได้รับการยืนยันจากทางนาซาและนักวิทยาศาสตร์ ยกเว้นก็แต่เรื่องวงโคจรที่แตกต่างจากปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะกลุ่มนักวิทยาศาสตร์โดยทั่วไปไม่ยอมรับเรื่องการวิวัฒนาการโดย สิ่งกระตุ้น ในช่วงนั้นเทียมัตอยู่ใกล้กับดาวซิริอุส (หรือโซทิสตามที่ชาวอียิปต์โบราณเรียกขาน) ระบบสุริยะและระบบดาวซิริอุสนั้นมีความเกี่ยวโยงกันทางด้านแรงโน้มถ่วงซึ่ง ข้อเท็จจริงเรื่องนี้เริ่มได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในแวดวงวิทยาศาสตร์ ระบบซิริแอนนี้จะโคจรรอบดาวฤกษ์อคลีออนในกระจุกดาวลูกไก่ (พีลอาดีส) หรือที่จะเรียกขานว่าเขตพีลอาดีส

พื้นที่อันกว้างใหญ่นี้จะโคจรรอบศูนย์กลางกาแลกซี่ในทิศทางของกลุ่มดาวคนยิง ธนู (Sagittarius) ในรอบระยะประมาณ 200 ล้านปี และรอบการโคจรของระบบซิริแอนและเขตพีลอาดีสจะมาบรจจบอยู่ในแนวเดียวกับศูนย์ กลางกาแลกซี่ในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555 (ค.ศ.2012) โปรดเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งเหนือความคาดหมาย!!! วกกลับมาคุยถึงเรื่องประวัติของนิบิรุ และ เทียมัต โลกของเราในช่วงนั้นมีสภาวะอากาศที่หนาวเย็นกว่าปัจจุบันมาก ประชากรมนุษย์ในยุคนั้นตามที่นักโบราณคดีเรียกคือมนุษย์นีแอนเดอทัลจะมีขนดก หนาและสันทัด ล่ำสันกว่าพวกเราในปัจจุบัน พวกเขาล้วนอาศัยอยู่ในโพรงถ้ำเพื่ออาศัยประโยชน์จากความอบอุ่นจากพื้นภิภพ เหล่าชาวภิภพแห่งเทียมัตนี้สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษจากพีลอาดีสซึ่งข้อ เท็จจริงนี้สามารถยืนยันได้จากตำนานและนิทานปรัมปราของหลายชนชาติ เช่นชาวมายาและชาวโพลีนิเชีย แต่ในที่นี้จะขอเว้นที่กล่าวถึงจุดกำเนิดของชาวพีลอาดีสบนเทียมัตไว้ก่อน

เมื่อ 500,000 ปีก่อนระบบสุริยะนั้นมีเสถียรภาพแต่เนื่องด้วยเหตุเหนือความคาดหมาย ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ดวงหนึ่งในระบบดาวซิริแอนได้เกิดพลัดออกนอกแนวทางโคจรและ มุ่งเข้าสู่ระบบสุริยะ ซึ่งดาวเคราะห์นี้ได้ถูกจับไว้เป็นบริวารของระบบสุริยะโดยที่มีวงโคจรที่รี คล้ายวงโคจรของดาวหางซึ่งมีคาบการโคจรหนึ่งรอบในเวลา 3,600 ปี และมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์ที่สุดในบริเวณกลุ่มเฆมออร์ด โดยที่คาดกันว่าดาวเคราะห์ดวงนี้มีขนาดประมาณดาวเนปจูน ประชากรบนดาวนี้จะมีลักษณะคล้ายสัตว์เลื้อยคลานที่ปกครองโดยชนชั้นปกครองที่ เรียกว่า “เนฟิลิม” (ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถหาอ่านได้จากพระคริสต์ธรรมคำภีร์) ประชาชนทั่วไปจะเป็นที่รู้จักกันในนาม “อนูนากิ” (Anunaki ตามที่เรียกขานโดยชาวสุเมเรียน) หรือ”อนาคิม” (ในพระคัมภีร์เก่า) ในช่วงนั้นผู้ปกครองสูงสุดคือจักรพรรดิ์ อลาลู และจักรพรรดินี ลิลิตู ภายหลังที่ถูกจับเป็นบริวารโดยดวงอาทิตย์ดาวเคราะห์นิบิรุได้เริ่มประสบกับ ภาวะสภาพอากาศที่ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย สภาผู้ปกครองทั้งสิบสองนำโดยจักรพรรดิ์อลาลูได้มีการประชุมฉุกเฉินและได้ สรุปถึงวิธีป้องกันเพื่อความอยู่รอดของดาวเคราะห์โดยการสร้างโล่ห์ความร้อน ที่ทำขึ้นมาจากทองเพื่อปกป้องชั้นบรรยากาศจากการสูญเสียความร้อนซึ่งจะเป็น ผลร้ายต่อสิ่งมีชีวิตแบบสัตว์เลื้อยคลานที่ต้องขึ้นกับแหล่งความร้อนภายนอก เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย พวกเขาได้เริ่มทำการสำรวจระบบสุริยะใหม่นี้ทันที กองยานอวกาศได้ถูกส่งไปยังดาวเคราะห์ต่างๆ รวมทั้งเทียมัตเพื่อค้นหาทอง ผู้บังคับการมกุฏราชกุมาร อนู พร้อมทั้งราชโอรสทั้งสอง เอนกิ และ เอนลิล และราชธิดา นินคูซัคได้ร่อนลงในบริเวณที่ปัจจุบันคืออ่าวเปอร์เซียและย่างเท้าบนฝั่งใน ดินแดนที่ปัจจุบันคือประเทศคูเวต ในที่สุดก็ได้ก่อตั้งท่าจอดยานอวกาศในบริเวณเมโสโปเตเมียในตำแหน่งที่มี ตำนานว่าเป็นสวนอีเดน โดยความช่วยเหลือชาวพื้นเมืองเทียมัตพวกเขาได้พบกับขุมทองบนเทียมัตและ สามารถนำทองนี้เป็นสร้างเป็นโลห์กักความร้อนได้สำเร็จ

อย่างไรก็ดีโลห์นี้มีความจำเป็นต้องได้รับการดูแลบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ นี้จึงเป็นเหตุที่ต้องมีชาวอนูนากิประจำอยู่บนเทียมัตเพื่อทำหน้าที่ขุดทอง และส่งทองกลับไปยังนิบิรุอย่างสม่ำเสมอ ครั้งนึงอันแสนเนิ่นนานมาแล้วในช่วงที่นิบิรุโคจรรอบบดวงอาทิตย์มีอยู่ครั้ง หนึ่งประมาณราวๆ 26,000 ปีของเทียมัตนิบิรุได้โคจรเฉียดเข้าใกล้เทียมัตมากจนก่ออันตรายร้ายแรง หนึ่งในดวงจันทร์บริวารได้พุ่งชนเข้ากับเทียมัตทำให้เกิดมหาสมุทรแปซิฟิค และได้ทำให้ทวีปเลอมูเกิดการเปลี่ยนแปลง ลักษณะของประชากรนิริบุจะมีความสูงในราว 10 – 20 ฟุต (3 – 6 เมตร) มีผมดกหลายสี แต่ขนตามตัวจะมีน้อยมากเพศผู้จะมีหนวดเคราบ้าง และส่วนมากจะมีเขาคล้ายเขาแพะบนศีรษะ ส่วนเพศหญิงส่วนมากจะมีปีก พวกเขาจะไม่มีเหงื่อและไม่มีกลิ่นตัวซึ่งนี่เองเป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่ได้ ให้ชาวพื้นเมืองเทียมัตทำหน้าที่ขุดทองหรืออยู่ใกล้กับพวกเขาเพราะพวกเขา รู้สึกว่าพวกชนพื้นเมืองนี้มีกลิ่นตัวแรง ชาวนิริบุมีนิ้วมือนิ้วเท้าข้างละเจ็ดนิ้ว อาหารของพวกเขามักจะเป็นอาหารเหลว และนิยมแต่งตัวด้วยเครื่องแต่งตัวที่ทำมาจากแผ่นทอง เมื่อเวลาผ่านไปคนงานชาวเหมืองเริ่มกระด้างกระเดื่องจนในที่สุดได้นำไปสู่ การปฏิวัติและปฏิเสธการทำเหมือง องค์จักรพรรดิ์อนู จึงได้ปรึกษากับราชินีนันคูซัคซึ่งราชินีนี้ได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเจ้า หน้าที่การแพทย์และพันธุศาสตร์ จักรพรรดิ์ได้ขอร้องให้ราชินีสร้างสิ่งมีมีชีวิตลูกผสมระหว่างชาวนิริบุกับ ชาวเทียมัตเพื่อทำหน้าที่เป็นแรงงานในเหมืองทอง องค์ราชินีได้ทรงรับหน้าที่ด้วยความรู้สึกท้าท้ายและในที่สุดก็ได้เป็นสิ่ง มีชีวิตลูกผสมเพศชายจากไข่ของหญิงเทียมัติกับเชื้ออสุจิของเจ้าชายเอนกิ ราชินีเรียกลูกผสมนี้ว่า “อดามู/ อดัม”

ในเบื้องต้นลูกผสมนี้มีแต่เพศชายทั้งสิ้น โดยที่ชาวนิริบุเพศหญิงจำนวนหนึ่งทำหน้าที่อุ้มท้อง และเป็นที่เรียกขานผู้ที่ทำหน้าที่เหล่านี้ว่า “เทพีแห่งการเกิด” และทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดี นิริบุมีทอง ชาวอนูนากิเป็นอิสระจากการทำเหมือง ส่วนลูกผสมจำลองก็ได้รับการผลิตเพื่อให้เป็นแรงงานเหมืองที่ดีเลิศ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ดังที่เคยเกิดในอดีต บรรดาเทพีแห่งการเกิดเริ่มรู้สึกเหลือทนกับการต้องมาอุ้มท้องพวกอดามู ดังนั้นชาวนิบิรุจึงได้ประท้วงและปฏิเสธที่จะอุ้มท้องอีกต่อไป ครั้งนี้จักรพรรดิ์อนูรับสั่งให้ราชินีเข้าเฝ้าและหลังจากนั้นก็ได้ข้อสรุป ว่าให้สร้างลูกผสมที่เป็นเพศหญิง (อีวา/อีฟ) เพื่อให้ทั้งสองเพศได้ผสมพันธุ์กันเองในธรรมชาติ ซึ่งแน่นอนว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ง่ายดาย แต่ปรากฏว่าเพศทั้งสองนั้นเป็นหมันเนื่องจากว่าทั้งสองเพศเป็นลูกผสม ดังนั้นจักรพรรดิ์จึงได้มีกระแสรับสั่งให้เลิกกระบวนการที่ทำให้สิ่งมีชีวิต นี้เป็นลูกผสม ครั้งนี้ราชนีนินคูซัคได้ขอให้เจ้าชายเอนกิดำเนินการแทน เจ้าชายจึงให้ทั้งอดัมและอีฟกินสารบางอย่างเพื่อกลับกระบวนการที่ทำกับสิ่ง มีชีวิต โดยหวังให้สิ่งมีชีวิตนี้มีลักษณะลูกผสมน้อยลง สิ่งมีชีวิตทั้งคู่ได้ลอกคราบผิวหนังชั้นนอกที่มีลักษณะของสัตว์เลื้อยคลาน และเริ่มต้นจับคู่ผสมพันธุ์ แต่แล้วพระองค์ก็ได้ทรงทราบว่าสิ่งที่ทำไปเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงเพราะ กระบวนการนี้ทำให้ไม่สามารถควบคุมสิ่งมีชีวิตนี้ได้ จักรพรรดิ์อนูจึงได้สั่งห้ามอดัมและอีฟเข้าไปในสวนอีเดนตั้งแต่นั้นเป็นต้น มา ด้วยเหตุนี้มนุษย์โครมันยองได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ 20,000 ปีก่อน ส่วนมนุษย์นีแอนเดอทัลก็ได้ค่อยๆ ล้มตายลงไปโดยที่ไม่อาจหยุดยั้งได้อันเนื่องมาจากอากาศที่อบอุ่นขึ้นเนื่อง จากโลกอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น

และในที่สุดเมื่อประมาณ 10,000 ปีมนุษย์นีแอนเดอทัลก็ได้สูญพันธุ์จนหมดสิ้นเหลือแต่เพียงมนุษย์โครมันยอง ที่ครอบครองเทียมัต ในหนังสือเรื่องแผนร้ายสายรุ้ง (The Rainbow Conspiracy) แบรด สไตเกอร์ได้เขียนถึงโครงการทดลองฟิลาเดเฟียที่ซึ่งประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดีลาโน รูสเวลล์ ได้พบกับมนุษย์ต่างดาวที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์ในปีช่วงประมาณปี พ.ศ. 2473 – พ.ศ. 2483 พวกมนุษย์ต่างดาวนี้จะมีผิวกายสีเขียว และเพื่อที่จะให้ไม่เป็นที่สังเกตพวกเขาใช้สารฟอกสีเพื่อทำให้สีกายของพวก เขามีสีอ่อนลง อย่างไรก็ดีดูเหมือนจะมีความสอดคล้องกันของรูปวาดเก่าแก่ถึงพระเจ้าใน อินเดียที่พระเจ้าที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์ มีผิวกายในสีโทนน้ำเงิน ซึ่งหากสังเกตให้ดีพวกกิ่งก่า ตะกวด และจิ้งเหลนจะมีสีผิวในทำนองนี้ ที่มีผิวอ่อนนุ่ม ละเอียดเหมือนไหม นอกจากนี้ข่าวที่มีการรายงานทางโทรทัศน์ยังชี้ว่าคณะแพทย์ที่พยายามจะรักษา ผู้ป่วยโดยการหาทางรักษาบาดแผลทางผิวหนังของผู้ป่วยพบว่าผิวหนังของงูนี้ คล้ายคลึงกับของมนุษย์มาก ที่จริงแล้วผิวหนังที่ใช้ในการรักษาบาดแผลวิธีนี้เป็นหนังงูเลยทีเดียว ซึ่งนี่แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกันของมนุษย์และสัตว์เลื้อยคลาน และกระบวนการย้อนกลับของการทำพันธุวิศวกรรมมนุษย์ ซึ่งกระบวนการย้อนกลับของอดัมและอีฟทำให้สิ่งที่สละทิ้งกลับรวมเป็นรูปใหม่ กลายเป็นงู และอาจจะอนุมานได้ว่าชาวนิริบุก็อาจจะมีความสามารถในการเปลี่ยนสีผิวให้เข้า กับสภาพแวดล้อมได้เช่นเดียวกับสัตว์เลื้อยคลานจำพวกกิ้งก่า หรือจิ้งเหลน โปรดศึกษางานเขียนของ อาร์ เอ บัวเลย์ (R.A. Boulay) ในหนังสือเรื่องเล่าของงูและมังกรบิน (Flying Serpents and Dragons)

เรื่องที่ต่อจากนั้นเป็นเรื่องที่มีบันทึกในประวัติศาสตร์ของเราเอง คือครั้งหนึ่งนิริบุได้เฉียดเข้าใกล้เทียมัตและทำให้เกิดภัยภิบัติทั้งน้ำ ท่วมและแผ่นดินไหวไปทั่วโลก ซึ่งในครั้งนี้สวนอีเดนและท่าจอดยานอวกาศได้จมไปในน้ำและถูกทำลายไปจนสิ้น เจ้าชายอูตูแห่งเนฟิลิมจึงได้รับบัญชาให้สร้างสถานีจอดยานอวกาศขึ้นใหม่ใน บริเวณแหลมไซนาย และวิถีชีวิตบนเทียมัตก็ดำเนินไปตามปกติอีกครั้ง แต่ในไม่นานก็ได้เกิดสงครามปิรามิดขึ้น พระราชกุมารีเจ้าฟ้าหญิงอินันนาซึ่งเป็นหนึ่งในที่รักยิ่งของจักรพรรดิ์อนู ได้รับพระบัญชาให้เป็นผู้ปกครองดูแลบริเวณที่เป็นอินเดียและเนปาลในปัจจุบัน พระองค์มีพระนามอีกพระนามคือพระลักษมี ซึ่งเป็นพระนามที่ได้รับการสักการะนับถืออยู่จนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุที่พระสวามีคือดยุคดูมูซิ (พระวิษณุหรือเปล่า)ได้มีเรื่องทะเลาะกับบารอนมาดุคจนในที่สุดได้นำไปสู่สง ครามปิรามิด ในสงครามชิงอำนาจระหว่างพระราชกุมารีอินันนาและดยุคดูมูซิกับบารอนมาดุคและ บารอนเนสศาพานิต ดยุคดูมูซิได้ถูกสังหาร ทำให้เจ้าชายอูตู และพระราชกุมารีอินันนาตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่บังควรโดยการทำลายท่าเทียบยาน อวกาศที่แหลมไซนายพร้อมทั้งศูนย์วิจัยและผักผ่อนคือเมืองบริวารโซดอมและโกโม ราซด้วย (The satellite R&R cities ไม่ทราบว่า R&R แทนอะไรอาจจะเป็น Research and Development หรือ Research and Recreation) ทำให้เหมืองทองในเขตแอฟาริกาใต้เข้าสู่ความวุ่นวายด้วยเมื่อดยุคเนกอลและดัส เชสอีเรสกิกอลเข้าเป็นพันธมิตรกับบารอนมาดุค และทำให้เกิดความวุ่นวายในคณะผู้ปกครองแห่งเนฟิลิม จักรพรรดิ์อนูจึงจำต้องโปรดให้สร้างสถานีจอดยานอวกาศขึ้นใหม่โดยครั้งนี้ พระองค์มีพระบัญชาให้เจ้าชายเอนกิและเจ้าหญิงนินกิเป็นผู้ดูแล ทั้งสองพระองค์จึงได้ย้ายสถานที่ไปเป็นบริเวณทะเลสาบติติคาคา (Titicaca Lake) ในเปรู และที่ตรงนี้ก็คือบริเวณที่ราบนาซคาซึ่งมีทองคำจำนวนมหาศาลอยู่ในเทือกเขาแอ นดีส ดังนั้นศูนย์การผลิตทองที่แอฟริกาใต้จึงถูกย้ายไปที่ทะเลสาบติติคาคาด้วย และนี่ก็เป็นเรื่องในอดีตหลายพันหลายหมื่นปีก่อน ซึ่งก็ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทำไมชาวนิริบุจึงดูเหมือนจะทิ้งเทียมัตไว้ อาจจะเป็นไปได้ว่าโลห์กักความร้อนนั้นสามารถคงรูปได้อย่างถาวรแล้วทำให้พวก เขาไม่มีความจำเป็นต้องใช้ทองจากเทียมัตอีกต่อไป

ครั้งสุดท้ายที่ดาวเคราะห์พวกเขาเฉียดใกล้เทียมัตคือในปี 687 ก่อนคริสต์กาล แต่แน่นนอนถึงแม้ดาวเคราะห์ของพวกเขาจะมุ่งหน้าไปสู่การหลับไหลที่ยาวนานใน กลุ่มเฆมออร์ดพวกเขาจะยังคงการติดต่อกับเทียมัตไว้บ้างบางส่วน อาทิเช่นสิ่งก่อสร้างใต้ดินในเทือกเขาแกรนด์เททอน หรือสิ่งอำนวยความสะดวกใต้ภิภพที่อเมริกาใต้ ในห้องเปล่าที่ซาอุดิอาระเบีย ในภูเขาหิมาลัย หรือแม้แต่ห้องโถงใต้ดินทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาปิรามิดแห่งอียิปต์ที่ชาว เนฟีลิมสร้างไว้เพื่อเชื่อมต่อกับสถานีอวกาศที่แหลมไซนาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปริศนาให้ถกเถียงกันว่ามีไว้เพื่อให้มนุษย์ต่างดาว ได้ใช้หรือไม่ ซึ่งเชื่อได้ว่าคำตอบสำหรับทุกปริศนาจะได้รับการเฉลยในอนาคตอันใกล้นี้ ในขณะนี้คงจะมีคนจำนวนมากถามว่าแล้วดาวเคราะห์นิริบุอยู่ที่ใด แน่นอนมันต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่งในระบบสุริยะเป็นแน่ บางครั้งนักดาราศาสตร์จะบังเอิญไปพบมันแต่อาจะไม่รู้และเรียกมันว่าวัตถุลึก ลับ อย่างเช่นกาแลกซี่ขนาดเล็ก บางทีรัฐบาลเองก็สงสัยว่าเจ้าสิ่งนั้นคือนิริบุเองแต่มีความเห็นว่าจำเป็น ต้องปิดบังข้อมูลนี้จากการรับรู้ของสาธารณชน ผู้ที่เฝ้าสังเกตท้องฟ้าในสมัยโบราณทั้งในตะวันออกกลาง หรือชาวมายาในเมกซิโกต่างก็ได้พูดถึงการมาของนิริบุในกลุ่มดาวคนยิงธนู ซึ่งมันจะมาปรากฏให้เห็นเป็นระยะๆ โดยที่ดูเหมือนว่ามันจะจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา อีกทั้งจะมีสีทองเหมือนดวงอาทิตย์ขนาดจิ๋ว มีหางยาวคล้ายดาวหาง และมีบริวารโคจรอยู่รอบๆ และจะลอยให้เห็นดังอัญมณีที่ขั้วโลกเหนือของเทียมัตคล้ายกับการมาถึงของยุค แห่งพระเจ้า

พระเจ้าองค์สำคัญของชาวสุเมเรียน
ได้แก่ เอนกิ(Enki) เทพแห่งน้ำ, กิ(Ki) เทพแห่งผืนแผ่นดิน, เอนลิล(Enlil) เทพแห่งห้วงอวกาศ หรือบรรพเทพ อัน(An) ผู้ปกครองสรวงสวรรค์เป็นต้น ชาวสุเมเรียนศรัทธาในพระเจ้าอย่างแรงกล้า และเชื่อกันว่าพระเจ้าของพวกเขาเสด็จลงมาจากท้องฟ้าที่แสนไกล ท้องฟ้าที่หมายถึงท้องฟ้าเบื้องบนนะคับ หาได้หมายถึงสวรรค์แต่ประการใดไม่นะคับ อีกอย่างนึงนะ จะเห็นได้ว่ามีการเอ่ยถึง Anunnaki อันนี้ ค่อนข้างบ่อย มาดูกันซิ มีความหมายยังงัยเอ่ย!! Anunnaki (อ่านว่า AN.UNNA.KI) แปลให้ตรงตัวคือ who from heaven to Earth came ซึ่งในบางครั้งชาวสุเมเรียนบรรยายถึงพระเจ้าเหล่านี้ด้วยอักษรภาพ โดยคำสำคัญที่เป็นส่วนประกอบเสมอคือคำว่า GIR เช่น DIN.GIR และ KA.GIR โดยไอ่เจ้าตัว GIR เป็นอักษรภาพที่มีรูปพรรณสันฐานคล้ายจรวดในปัจจุบันมากค่ะ โดยรวมแล้วความหมายของ GIR เมื่อประกอบเข้ากับคำอื่นๆแล้วก็อาจแปลความได้ว่า The Righteous one of the blazing rockets ไปเลย วู๊... เท่ห์ไม่ใช่เล่น น่าเสียดายที่สมัยนั้นนักโบราณคดีของเราไม่รู้จักจรวด หรือต่อให้รู้จักเค้าก็อาจคิดว่าเหลวไหลที่คนโบราณจะไปรู้จักหรือจินตนาการ ถึงจรวดไปได้ ความหมายของคำพวกนี้เมื่อถ่ายทอดออกมาในวงการโบราณคดี จึงเป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งดูแล้วเป็นเทพนิยายไปนู่นเลย (แบบที่ใครๆหลายคนแถวๆนี้คิดกันด้วยล่ะ) เรื่องการผิดเพี้ยนของศัพท์เมื่อแปลจากตำนานโบราณนั้นหาใช่เรื่องใหม่แต่ อย่างใดเลย บางครั้งคำที่พวกเราคุ้นเคยกันดี ก็มาจากการแปลที่ผิดความหมาย หรือการตีความอย่างไม่รู้ของผู้แปล เช่นคำว่า Nefilim ในไบเบิล ซึ่งภาคภาษาไทยใช้คำว่ายักษ์ นั้น เป็นคำที่มีความหมายเดียวกับ Anunnaki ของชาวสุเมเรียน และคำว่าเอโลฮิมอันเป็นพระเจ้าของชาวฮีบรูว์โบราณ

ภาคขยายความ
The Planet X ดาวเคราะห์ดวงที่สิบของชาวสุเมเรียน ท่านที่ติดตามอ่านมากจากข้างบน คงพอจะทราบเนื้อหาอย่างคร่าวๆแล้วนะครับ เรื่องราวทั้งหมดของตอน2 เป็นการค้นคว้าของนักโบราณคดีและนักภาษาศาสตร์ท่านหนึ่ง ชื่อ Zecharia Sitchin ซึ่งได้ศึกษาเรื่องราวแต่ครั้งโบราณของมนุษย์ นับไปตั้งแต่ไบเบิล จารึกต่างๆ ปาริรัส และโดยเฉพาะอารยธรรมจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมแรกของโลก Sitchin ได้ให้ทรรศนะว่ามีอะไรแปลกๆอยู่ในบันทึกโบราณพวกนี้ โดยเฉพาะความก้าวหน้าอย่างเหลือเชื่อ ในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน Sitchin ได้ตระเวณศึกษาค้นคว้าอย่างหนักจนในที่สุดเขาก็ได้ข้อสรุปที่น่าพิศวงออกมา ว่า

เมื่อครั้งอดีตกาล มีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก ได้เคยลงมาตั้งหลักแหล่งในพื้นพิภพของเรา ได้ทำการเปลี่ยนแปลงโลกเราจนกลายเป็นอาณานิคม สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวกับ "พระเจ้า" ที่พูดกันในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า พวกเขาทำเรื่องเซอร์ไพรส์มนุษย์ยุคหลังอย่างเราไว้มากมาย โดยเฉพาะ เรื่องราวที่พวกเขากระทำและมีบันทึกไว้ในบทเยเนซิสของไบเบิล ว่าด้วยการสร้างมนุษย์โดยการดัดแปลง DNA ในไบเบิลไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าสรวงสวรรค์ของเอโลฮิม หรือพระเจ้าเหล่านี้ อยู่ที่ไหนกันแน่ แต่ในจารึกของชาวสุเมเรียน ซึ่งถือได้ว่าเป็นต้นตอเดียวกัน ระบุเอาไว้อย่างชัดแจ้งแดงแจ๋เลยครับ ว่าพระเจ้า หรือ Anunnaki ของพวกเขานั้น มาจากดาวเคราะห์ที่ชื่อว่า Nibiru

Sitchin ได้ศึกษาจารึกดินเหนียวโบราณนับพันๆแผ่น ทั้งขุดค้น ตระเวณไปตามพิพิธภัณฑ์ เพื่อค้นหารอยต่อของสิ่งที่เขาสงสัย สิ่งที่ทำให้ Sitchin รู้สึกพิศวงที่สุดก็คือ ความก้าวหน้าทางดาราศาสตร์ ที่ซุกซ่อนอยู่ในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน จากรึกอักษรคิวนิฟอร์มชิ้นหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัรฑ์ของประเทศเยอรมณี มีรายละเอียดทางดาราศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเห็นแล้วต้องกุมขมับ เพราะมันกล่าวถึงตำแหน่งของโลกเอาไว้ว่า โลกของเราเป็นดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ด หากนับจากดาวพลูโตเข้ามา (ชาวสุเมเรียนรู้จักดาวดวงนี้ก่อนเปอร์วิวาล โลเวล ตั้งสี่พันปีแน่ะ น่าทึ่งไหมครับ ) ทำไม? ทำไมชาวสุเมเรียนโบราณจึงมีความรู้ทางดาราศาสตร์ก้าวไกลขนาดนั้น Sitchin ให้ข้อสรุปจากการศึกษานับสิบปีของเขาว่า นั่นก็เป็นเพราะบรรพบุรุษของชาวสุเมเรียน ไม่ได้มีรกรากเดิมอยู่บนโลกนี้น่ะสิครับ พวกเขามาจากที่อื่น มาจากดวงดาวอันไกลโพ้นซึ่งมีชื่อว่า Nibiru อะไรที่ทำให้ Sitchin ปักใจขนาดนั้น? หลักฐานไงครับ Sitchin ได้ศึกษาทั้งดาราศาสตร์และเจาะลึกลงไปในเรื่องราวที่บรรพชนได้ทิ้งเอาไว้ให้ พวกเราซึ่งเป็นอนุชนรุ่นหลัง

หลักฐานที่อยู่ยงคงกระพันที่สุด และสืบทอดเจตจำนงค์ของผู้ที่ต้องการถ่ายทอดมากที่สุด เห็นจะเป็นบันทึกทางศาสนาครับ ก็เพราะว่าความเชื่อศัทธรานั้น เป้นสิ่งที่ทำให้ เรื่องราวที่ถ่ายทอดกันมา ไม่มีขาดตกบกพร่อง ตัวอย่างที่ดีก็ได้แก่ไบเบิลและคัมภีร์พระเวทย์ของอินเดีย ที่มีการถ่ายทอดกันมาปากต่อปากคำต่อคำโดยไม่ตกหล่นเลยมานับพันๆปี จนกระทั่งมีการคิดค้นตัวหนังสือขึ้นมาได้ การบันทึกจึงได้เริ่มขึ้น อันนี้คงต้องขอบคุณความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับมนุษย์ล่ะครับ เพราะไม่งั้น เราจะไม่มีทางได้รู้เรื่องราวอันน่าทึ่ง ซึ่งเป็นกุญแจเพียงดอกเดียวที่จะไขไปสู่ เรื่องราวอันเป็นจุดกำเนิดของมนุษยชาติได้ อย่าลืมนะครับ ว่าแม้ผู้เข้มแข็งจะเขียนหรือบิดเบือนประวัติศาสตร์ได้ แต่ผู้เข้มแข็งทั้งหลายไม่เคยหรอกครับ ที่จะบิดเบือนศัทรธาและจารึกศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาให้เป็นอื่นไป

26 ตุลาคม 2552

จะเชื่อหรือไม่ แล้วแต่ชีวิตท่านเองครับ

ไม่ลบหลู่ดูถูกใด แต่ขอพูดจากเหตุผลจริงๆครับ

ผมติดตามค้นคว้าแทบตาย เพราะชอบด้านดาราศาสตร์มาแต่เด็กๆ
และผมก็โดนไซโคให้ตื่นเต้นตั้งแต่ปี 1999 , 2000 , 2002,2003 , ล่าสุด 2012
ในแต่ละปี จะมีคำอ้างว่า ใบเบิ้ลบอก นอสตราดามูสบอก พระไตรปิฎกบอก
นาซ่าบอก ดร.ชื่อโน้นชื่อนี้บอก ชนเผ่าโน้นเผ่านี้บอก และจะอ้างว่าเขียนไว้แค่ปีนั้นๆ ไม่มีต่ออีก (แล้วเผ่านี้เค้าดันเขียนว่าปี 2009 งี้ไม่เผ่นมุดดินไปหมดแล้วหรอครับ)
แต่ผมเห็นคำว่าปีนั้นๆ ปีนั้นๆ ปีนั้นๆ มาตั้งแต่ 1999 แล้วครับ เวปเกิดใหม่รีบเขียนเรื่องให้กระหน่ำ ด้านวิทยาศาสตร์แบบงมงาย ก็จะอ้าง Sign
ส่วนด้านศาสนาจะอ้าง คำภีร์ต่างๆ งัดลิ้งค์ต่างๆมาอ้างอิงมากมาย
ยกหลักฐานเท่าที่มีมาในชีวิตมารวมๆกันให้ดูมากๆไว้ก่อน ทั้งๆที่หลักฐานแต่ละอย่าง มันวัดอะไรไม่ได้เลย
ทั้งทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า "ตัวเองก็อ่านมาอีกที ฟังต่อมาอีกที"สุดท้ายเงียบกันหมด เวปปิดกันแทบไม่ทัน

ตอนนี้ก็เล่นเลขสวยอีกตามเคย เดือน 12 วันที่ 21 ปี 2012 ลงตัวตามปฏิทินกะราศีกะพระเจ้าของชาวสุเมเรียนซะงั้น
ดวงดาวมันเข้าใจมาหาวันเลขสวยมาโดนโลกซะงั้น คิดได้ไง?
Nibiru ก็ในหนังญี่ปุ่นคงเคยดูกันแล้วที่กราฟฟิคสวยๆ อัพขึ้นyoutube กันเป็นแถว แถมมีในหนังสือที่เอาหลักการที่ไม่มีใครยอมรับมาเขียนให้เหมือนจะมีจริง
พอเขียนหนังสือเสร็จ ก็ไปเขียนลงnet ให้ทั่วไปหมด ใครหัวอ่อนก็ดูๆๆๆ อ่านๆๆๆๆ เชื่อๆๆๆๆ (งง แล้วทำไมไม่เชื่อองค์กรต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศ) ขนาดรัสเซียคู่แข่งนาซ่าตลอดกาล ก็ไม่เห็นมีใครเชื่อเลยสักคนครับ คนเค้าตอบแต่ละคน งัดหลักการเหตุผลที่ดีสุดๆ หลักฐานก็ชัดเจน

แต่คนที่หัวอ่อนจัดๆๆ อ่านๆๆๆ เห็นเค้าบอกว่าจริง มีหลักฐานมั่ว ก็เชื่อไปแล้ว พอกดลิ้งค์ตามเข้าไป ...กลายเป็นเวปเกี่ยวกะศาสนาซะงั้น แถมมีหนังสือขายให้คนหัวอ่อนเอาไปอ่านให้มันอ่อนเข้าไปอีก

ผมยังไม่ทันโพสถามNASA เลย เพราะมีคนถามกันเพียบ
http://search.nasa.gov/search/search.jsp?nasaInclude=nibiru

แล้วผมก็งงมาก
ว่าทำไมต้องถามแบบเดิมซ้ำๆๆๆๆแทบทุกคน เหมือนว่าจะเถียงข้างๆคูๆ เช่น
"รูปถ่ายจากนาซ่าเห็นชัดเจน "
เค้าก็บอกไปแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่หอดูดาวของนาซา แต่เป็นของ NSF ใช้แค่ความถี่ในการตรวจจับ ไม่ออกมาเป็นภาพ Photoshop สวยขนาดนั้น (ส่วนตัวผมเห็น File ภาพมั่วนิ่มไม่มีประวัติการใช้เครื่องมือถ่ายฝังไว้เลยเลย)
แต่ภาพจากนาซ่า File จะมีประวัติว่าถ่ายวันไหนกี่โมง เซพทับกี่ครั้ง ใช้อะไรถ่าย ใช้โปรแกรมอะไรเซพ มีครบถ้วนครับ
เช็ครูปจากที่นี่เลย เวปจับผิดรูปภาพ
http://regex.info/exif.cgi

นี่รูปน่าซ่า ลองเช็คดูจะเห็นกระทั่งใช้ชิพยี่ห้ออะไร เลนซ์อะไร
ถ่ายวันไหน ชัดเจนเลยครับ

แต่ของ Nibiru มีแต่ประวัติการใช้โปรแกรมตัดต่อซะงั้น
ได้แต่พิมพ์ไว้เอาเองว่าถ่ายไว้ตั้งแต่เดือนไหน
http://www.greatdreams.com/nibiru-possible.jpg
http://zetatalk.com/teams/tteam342.htm

อยากถามบ้างเหมือนกันว่า
ถ้าเป็นจริง ทำไมมีแต่คลิปตัดต่อแบบง่ายๆในยูทูบเกลื่อน
ข้อมูลก๊อบกันมาอ้าง ซ้ำแล้วซ้ำอีก
แล้วบอกว่า
"นักดาราศาสตร์ชั้นนำของประเทศต่างๆออกมาอธิบายเรื่องทฤษฎีความเป็นไปได้กันอย่างจ้าละหวั่น
"
ไหนล่ะครับ มีแต่เวปขายหนังสือ กับเวปศาสนาทั้งนั้น มีนักวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ออกมาพูดทั่วโลกสิครับถึงน่าเชื่อ
ไม่ใช่นักดาราศาสตร์ที่อยากขายหนังสือ หรือลิทธิต่างๆนาๆ
องค์กรทุกองค์กรแต่ละประเทศ เค้าก็ออกตัวว่า "แต่งขึ้นจากพื้นฐานที่เป็นไปไม่ได้"

"เส้นทางวงโคจร ทำให้เรารู้ได้ว่าถ้าเมื่อก่อนเราส่องดูดาวบริเวณทิศใต้สุดของดาวโลกเราจะ เห็นมัน แต่ต้องใช้กล้องส่องทางไกลช่วย แต่ปัจจุบันนี้ ปีนี้สามารถเห็นได้ด้วยเปล่าแล้ว!!"

ไหนล่ะครับ ทั้งสีแดงทั้งดวงใหญ่ เห็นด้วยตาเปล่า กล้องส่องก็เห็นชัด
Nasa เค้ายังบอกเลยว่าต่อให้เป็นดาว brown dwarf ยังไม่เห็นเลย
ถ้าเห็นจริง ในเน็ตจะต้องดังโครมครามมีแต่คนถ่ายเอามาโพสให้เกลื่อนแล้วววว ไม่ใช่มีแต่รูปเดิมๆวนไปวนมาไม่กี่เวป
คนเก่งดาราศาสตร์ คนชอบดาราศาสตร์ คนทั่วไป รวมๆทั้งโลก ก็คงไม่เงียบขนาดนี้แน่ๆครับถ้ามีจริง
ขนาดตอนพระจันทร์ยิ้ม ตอนสุริยุปราครา ยังถ่ายทอดสดเลยมองก็ไม่ค่อยจะเห็นเมฆก็เยอะ (แต่เค้ารู้ว่ามีจริงไงครับเลยยอมรอดูกัน)


"โคจรทุกๆประมาณ 3,600 ปี จะมาโจมตี solar system ของเราคล้ายดาวหาง และดวงอาทิตย์ของเราได้มีแรงดึงดูด Nibiru เอาไว้เมื่อ 4-5แสนปีก่อน"

กำ คิดปลายทางออกมามันก็ได้เลข 2012 สวยงามอยู่หรอก
แต่คิดยังครับว่าในเมื่อมันมาทีนึง แค่เฉียดโลกเรา มนุษย์หายเกือบหมดต้องรอเป็นร้อยๆปีเพื่อเริ่มต้นใหม่หมด แล้วคิดหรือยังครับว่า...
ถ้าเคยโดนโลกเรามาก่อนเมื่อ 3600ปีที่แล้ว หลักฐานล่ะครับ ไปไหนหมด
ถ้ามีมนุษย์รอด ก็ต้องมีแต่เรื่องเล่าสืบทอดกันมา
แต่ถ้าบอกว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตเหลือ ก็แปลว่าตอนนี้พวกเรายังเป็นตัวไดอะตอมอยู่เลย กว่าจะเป็นวานร กว่าจะเป็นมนุษย์ กี่ปี่ล่ะครับ 3600 ปีเองหรอ????

แล้วนับย้อนไปเรื่อยๆหรือยังครับ ? โคจรมาทุก 3600 ปี
แปลว่าโลกเราโดนไปกี่ทีแล้วครับ เอาไปคำนวนกับข้อมูลที่อ้างว่า Nibiru เข้า วงโคจรแบบขวางมา 4แสนปี
นับๆก็ .... โลกเราโดนเฉียดจนแหว่งมา 100 กว่ารอบแล้ววววว โอ้แม่เจ้าาา
1 ทีก็แหว่งแล้ว ตัวอะไรยังเกิดแทบไม่ทันเลย ถ้ามีจริงโดนบ่อยขนาดนั้น ป่านนี้โลกเราคงสาบสูญเป็นขยะอวกาศไปนานแล้ววว

มีอีกหลายข้อโต้แย้งที่มีเหตุผล มีที่มาที่ไป มีหลักฐาน มีการอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ

จะเชื่อการบอกต่อในเน็ต การตัดต่อในรูปและในคลิป การออกมาเถียงประโคมข่าว ในเรื่องที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตทุกคนในโลก !!!!!!!!!!!!

แล้วทำไมป่านนี้ไม่มีองค์กรใดๆ สักประเทศ ออกมาตื่นตัวอะไรกันเลยครับ
มีแต่ช่วยกันลดโลกร้อน - -
แล้วทำไมคนที่สร้างเรื่องมีแต่ เวปลัทธิ เวปขายหนังสือ UFO , End of the World , และหนังสือ Nibiru ทำไมทุกองค์กรรัฐและเอกชนทั่วโลกเงียบบบบบบ หมดล่ะครับ

การที่มีสัญลักษณ์ต่างๆมาตรงกันกับเหตุการณ์
จิงๆไม่ได้ตรงเลย แต่เอาที่ไม่ตรงมาตั้งแต่ทำนายวืดมาหลายรอบ งัดมาใหม่ แล้วหาทางเอาสัญลักษณ์ที่มีอยู่ ไปยัดเยียดให้ตรงกับเรื่องที่แต่งขึ้นเอง แบบนี้ใครๆก็อ้างได้ครับ กะแค่เครื่องหมาย บวก คูณ ลูกตา งู พระอาทิตย์
โหลๆครับ ให้ได้กับทุกเหตุการณ์

อย่าพึ่งเป็นเหยื่อโปรโมทหนังฟอร์มยักษ์ หรือคนใดคนหนึงครับ หรือหลอกขายของ หลอกให้บริจาคเงิน โดนหลอกให้ไปเถียงคนอื่นคอเป็นเอ็น
สุดท้ายคนเสียก็เรานะครับ



จะเชื่อหรือไม่ แล้วแต่ชีวิตท่านเองครับ
ด้วยความหวังดีแบบเหตุผลครับ

ผมอยากให้อ่านอะไรฟังอะไรมา ก็ควรรอรับอีกด้านให้เท่าๆกันและเปิดใจด้วยครับ

** ข้อมูลที่ foxnews , bbc ,cnn , discovery , history chanel (พวกนี้เพียงเชิญไปสัมภาษณ์ตามช่วงของรายการเท่านั้นนะครับ ฟังให้ครบๆ เค้าไม่ได้เห็น หรือพบจริงๆเลยสักสำนักข่าว)

reference :
http://search.nasa.gov/search/search.jsp?nasaInclude=nibiru

http://astrobiology.nasa.gov/ask-an-astrobiologist/question/?id=2744

http://www.universetoday.com/2008/06/19/2012-planet-x-is-not-nibiru/
อันนี้ก็เวปนี้เองยังบอกเลย
http://thaiastro.nectec.or.th/library/faqs/faq_doomsday.php

อันนี้ดีมาก วิกิ เค้าไม่ให้คนมาแก้ข้อมูลโดยไม่มีแหล่งยืนยัน หรือหลักฐานยันนะครับ
http://en.wikipedia.org/wiki/Nibiru_collision
ฉะนั้นคิดง่ายๆเลย ทำไมคนที่มาไซโคมั่วนิ่มทั้งหลาย ถึงไม่ไปแก้ไขข้อมูลจากเวปสำคัญทั่วโลก ทำไมมีแต่เวปบล๊อคตัวเองแค่เนี้ยยยยย กรรมมมม

สุดท้ายละครับ คุณๆที่เชื่อมากๆทั้งหลาย
ลอง search google คำว่า end of the world 3000 สิครับ มีอีกเยอะครับที่เค้าหาทางหนีทีไล่ไว้นานแล้ว คือ ...ผลักไปปีอื่นเลย
แกล้งเงียบบบ
แล้วบอกว่า คำทำนายเลื่อนไปอีกเป็นกี่ปี !!!!!!! กรรม โดนต่อเรื่อยๆละกัน
โชคดีครับ ตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงานครับ

การศึกษาข้อเท็จจริงและผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมจากปรากฏการณ์ขั้วแม่เหล็กโลกพลิกตัว

ข้อมูลจากคุณ win ครับ

ทฤษฎีที่โด่งดังมากสุดคงต้องยกให้กับคำทำนาย ที่ว่า โลกบูดเบี้ยวใบนี้จะแตกดับในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 หรืออีกแค่ 5 ปีข้างหน้า...ด้วยชุดเลขสวย 212012
ทฤษฎีนี้คิดค้นขึ้นโดยชนเผ่ามายัน วันดังกล่าวถือเป็นวันสิ้นสุดปฏิทินลอง เคาต์ (Long Count) หรือ ปฏิทินลำดับที่ 3 ของชาวมายัน โดยปฏิทินลอง เคาต์ เล่มล่าสุดนั้น เริ่มต้นในปี 3114 ก่อนคริสตกาล และจะดำเนินต่อเนื่องเป็น 13 รอบบักตุน (baktun) กินเวลาทั้งสิ้นราว 5,126 ปี บวกลบออกมาแล้วก็ตรงกับปี 2012 พอดิบพอดี

การเริ่มต้นของ 13 รอบบักตุน เรียกได้อีกอย่างว่า อาทิตย์ดวงที่ 5 ซึ่ง ช่วงเวลาดังกล่าวจะเวียนมาบรรจบเพื่อก่อกำเนิดดวงอาท ิตย์ครบ 5 ดวง ในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 โดยคำทำนายระบุเอาไว้ว่า ในวันนั้นโลกจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร ไล่เรียงตั้งแต่ภัยธรรมชาติที่จะทำลายทุกสิ่งไปจนถึง สงครามอภิมหาโลกาวินาศ จนไม่มีมนุษย์คนใดมีชีวิตรอด ซึ่งอย่างหลังนี้อาจเชื่อมโยงได้กับทฤษฎีสงครามโลกคร ั้งที่ 3 ของนอสตราดามุส โหราจารย์ชื่อก้อง

สถานการณ์น่าระทึกในวันอวสานโลก ข้างต้นตามจินตนาการข อง อง โคลด โคเวน นักเขียนหนังสือแนวอภิปรัชญาชาวฝรั่งเศส บรรยายว่า ให้นึกถึงภาพตัวเองอยู่ในสถานีรถไฟอันแออัดตอนเช้า แล้วทันใดนั้นก็เกิดเหตุโกลาหลครั้งใหญ่ทั้งธรรมชาติ แปรปรวนและระบบ คอมพิวเตอร์หรือระบบควบคุมการทำงานของเครื่องจักรเคร ื่องยนต์ต่างๆ ขัดข้อง จนเป็นเหตุให้ขบวนรถไฟในชานชาลาพากันวิ่งออกไปคนละทิ ศ คนละทาง คล้ายกับซี่วงล้อเกวียน

ในสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนั้นยังกดดันให้ คุณจำเป็นต้องเลือกขึ้นรถไฟสัก ขบวน อย่างน้อยก็ยังรอดจากการโดนรถไฟทับตาย แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่คุณไม่มีทางรู้เลยว่า รถไฟขบวนที่หลับหูหลับตาขึ้นไปนั้นจะพาคุณไปไหน

น่าแปลกที่นอกจาก 212012 จะเป็นวันสุดท้ายของปฏิทินชนเผ่ามายันแล้ว ยังมีข้อมูลทางดาราศาสตร์ที่ระบุไว้ว่า จะ เกิดพลังงานลึกลับที่จะเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล โดยในเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากที่สุดในช่วง ฤดูหนาวของปี 2012 นั้น ดวงอาทิตย์จะอยู่ในระนาบเดียวกับใจกลางของทางช้างเผื อกเป็นครั้งแรกในรอบ 2.6 หมื่นปี ซึ่งหมายความว่า พลังงานทุกประเภทจากใจกลางของทางช้างเผือกจะถาโถมและ เกิดการปะทะกับพลังงาน ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นของโลกในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 เวลา 23.11 น. (11.11 pm ตามเวลาสากล)

สมมติว่า มีมนุษย์เหลือรอดบนโลก ก็ไม่อาจรู้ว่าจะจำตัวเองได้หรือไม่ เนื่องจากพลังงานทั้งหลาย แหล่ข้างต้นจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ ดีเอ็นเอ นำมาซึ่งการกลายพันธุ์ หรือสรุปคร่าวๆ ได้ว่า ถึงตอนนั้นโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง คนที่รอดต้องดิ้นรนสร้างสิ่งต่างๆ นับจากศูนย์

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลทางธรณีวิทยาที่ชี้ว่า ปี 2012 คือปีที่ซูเปอร์โวลคาโน หรือภูเขาไฟใต้น้ำครบกำหนดเวลา 7.4 หมื่นปีที่จะทำลายหรือระเบิดตัวเอง โดยสัญญาณเตือนภัยครั้งล่าสุด คือ โศกนาฏกรรมคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปี 2004 ที่บอกให้ชาวโลกรู้ว่า โครงสร้างพื้นผิวโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และการระเบิดของซูเปอร์โวลคาโนอาจไม่ใกล้ไม่ไกลบริเว ณที่เคยเกิดสึนามิมา ก่อน

และเป็นที่น่าสังเกตว่า ระยะหลังมานี้ เกิดเหตุแผ่นดินไหว ดินถล่ม และน้ำในแม่น้ำหรือทะเลสาบเหือดแห้งบ่อยครั้งทั่วโลก เป็นไปได้ที่ส่วนหนึ่งเกิดจากภาวะโลกร้อน แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่าโครงสร้างของพื้นผิวโ ลกกำลังขยับและเปลี่ยน แปลงตัวเองโดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว

ที่มา นสพ.ไทยรัฐ

การที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาว่ามีถึง 5000 ปีนั้นไม่ได้แปลว่าระยะเวลาก่อนปีพุทธศักราชที่ 5000 นั้นจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆขึ้นเลย ซึ่งหมายความว่าการล่มสลายนั้นไม่ว่าจะเป็นศาสนาหรืออารยธรรมใดๆก็ตามอาจ เริ่มต้นด้วยการเสื่อมถอยจนไปหรือการเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ทำให้ ศาสนาหรืออารยธรรมสิ้นสุดลงไปก่อนหน้าที่จะถึงปีที่มีการสิ้นสุดจริง ยกตัวอย่างว่าในปี พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) ที่จะถึงนี้ พุทธศาสนาเริ่มการล่มสลายเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ (ในกรณีที่ปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นจริง) ผู้คนล้มตายกันเห็นจำนวนมหาศาล ผู้คนที่เหลือรอดชีวิตต่างแสดงความเห็นแก่ตัวเพื่อความอยู่รอดของตัวเองจน ลืมหลักคำสอนของศาสนา เป็นแบบนี้ไปจนกระทั่ง พ.ศ. 5000 พุทธศาสนาได้ล่มสลายลงไปโดยสิ้นเชิง จนกว่าจะมีการเริ่มต้นใหม่ของพระพุทธศาสนาโดยการประสูติของพระพุทธเจ้า และเริ่มนับปีพุทธศักราชใหม่ในปีที่มีการสถาปนาขึ้น (เช่น ปีพุทธศักราชเดิมเริ่มนับจากปีที่มีการสวรรคตของพระพุทธเจ้า) โดยการเริ่มนับที่ พ.ศ. 1 ทำนองนี้

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่ามันไม่ใช่วันที่โลกดับสลาย แต่มันเป็นช่วงมหันตวิกฤติที่อารยาธรรมของมนุษย์ล่มสลายและสิ่งมีชีวิตหลาย ชนิดหรืออาจจะทุกชนิดล้มตายเป็นจำนวนมหาศาลหรือบางชนิดที่สูญสิ้นเผ่าพันธุ์ ลง จึงมีบางส่วนที่สามารถรอดชีวิตมาได้ พร้อมกับความเชื่อทางศาสนาที่ยังคงหลงเหลืออยู่ โดยที่บางส่วนยึดถืดปฏิบัติและบางส่วนทำให้เสื่อมค่าลง เป็นแบบนี้ไปจนถึงปีที่ 5000
ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นแน่นอน

ตามบันทึกโบราณ ของชาวอียิป แต่ไม่รู้ไม่วเอากับมนุษย์ต่างได้ได้ไง
หายนะ คงไม่ใช่วันเดียว แต่ใช้เวลา

ไฟเผลาผลาญ โลกใช้เวลา โลกของเราจะเกิดสงครามครั้งใหญ่ใน ปี ค.ศ.2014 จะเกิดเหตุกาณ์สำคํญทางดาราศาตร์ โลกจะถูกหลอมละลาย ภูเขาจะถูกทำให้ราบเรียบ ภูเขาน้ำแข็งจะละลาย
แผ่นดินไหวครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นทั่วโลก สินามิเป็นเพียงผงธุรี ของเหตุการณ์การณ์นั้น
เนื่องจากมีผู้ค้นพบ บันทึก ในปิรามิด ที่ใช้เก็บเอกสารที่สำคํญ ในเอกสารนั้น
ระบุเหตุกาณ์ สำคัญของโลกเราไว้หลายอย่าง... ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมา มาแล้ว
2 ครั้ง ที่ตรง คือสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ตรงในปีที่เขาบันทึกไว้ และสงครามครั้งใหญ่ที่สุด จะเป็นสงครามครั้งที่ 3 ดวงจันทร์จะสีแดงอาบไปด้วยเลือด ดวงอาทิตย์จะปกคลุมไปด้วยหมอกความมืด
ผมเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริง ใน ปี ค.ศ.2014 อีก 7 ปี หลั้งจากนั้น โลกจะเต็มไปด้วยภัยวิกฤต โลกระบาด อาหารขาดแคลน คนจะชั่วร้าย อุกาบาต ดวงจะตกจากท้องฟ้า

ไม่ได้หมายความว่าชอบสงครามเพียงแต่มีเหตุการ์นั้น ...เพียงแต่ว่า มันจะเกิดขึ้น สงคราม.. การขาดแคลนอาหาร.. โรคระบาด.. แผ่นดินไหวครั้งใหญ่...
จิตใจมนุษย์จะชาเย็น แก่กล้าในความชั่ว คนจะชั่วร้าย อุกาบาต ดวงดาวจะตกจากท้องฝ้า
ปิรามิด หรืออะไรก็แล้วแล้วแต่ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาด้วยมือตัวเอง ไม่มีอะไรศักดิ์สิทธิ์ แต่อยู่ที่เนื้อหา ความเป็นจริง
ที่เขียนก็ไม่เคยไปบอกกล่าวที่ไหนหรอกนะ ก็มีทีนี่ที่เดียว ถามว่าได้อะไรไหม ไม่ได้อะไรทั้งสิ้น เสียเวลาไหม เสีย
เป็นประโยชน์กับคนอื่นไหมก็แล้วแต่ใครจะค้นหาคำตอบต่อไป ไม่ได้หวังหรือขอให้ใครมาเชื่อ เพียงอยากจะบอกกับคนที่มีสติปํญญา
ที่เป็นนักดาราศาตร์ไทย หรือ...ได้รู้ ว่าจะเกิดเหตุการณ์ทางดาราศาสตร์อะไรบ้าง เป็นไปได้อย่างไรที่ดวงอาทิตย์จะถูกทำให้มืด
ดวงจันทร์จะอาบไปด้วยเลือด ( สีแดง ) เป็นเรื่องที่ตามองดูด้านล่าง ที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น หรืออะไรก็แล้วแต่...ที่คนโบราณเห็นภาพ
เขาก็ใช้อะไรที่สื่อให้เห็น เช่น เขาเห็นรถไฟ ในสมัยของขาไม่มีรถไฟ เขาก็บันทึกว่าม้าเหล็ก เขาเห็น.เครื่องบิน เขาก็บันทึกว่าเหมือนฝูงตั๊กแตน
เห็นปรมณู..ก็บันทึก ว่าหัวมันแหลมเหมือนธนู มันพรุ่งออกมาจากพื้นดิน
.สงคราม
2.ขาดแคลนอาหาร..
3.โรคระบาด..
4.ภัยพิบัติ แผ่นดินไหวครั้งใหญ่
5.สงครามครั้งใหญ่ ครั้งที่3
6.ดวงดาวจะตกจากท้องฟ้า ( อุกาบาต )
7.แผ่นดินจะมีพื้นเดียวกัน เหมือนดังที่เคยเป็น
8.จะมีเมืองหลวงใหญ่ 2 เมือง
...
...โลกจะจะไม่แตก แน่นอน .

แต่ที่ผิวเปลือกโลก จะเกิดเคลื่อนตัว ซึ่งก็คือแผ่นดินไหว

เมืองหลวงใหญ่ๆหลายเมิอง ไม่ต้องนึกถึง ราบ เป็นหน้ากอง

แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นโดย...

ไม่จำเป็นที่จะเป็นที่ เฉพาะรอยเคลื่อนของเปล์อกโลก

จะเกิดขึ้นที่ใดก้ได้.. เพราะทุกที่ มีแรง พลังส่ง ถึงกันได้
เหมือนกับเวลาเราเปล่าลูกโป่งที่หนึ่ง มันก็จะไปดันอีกที่หนึ่ง ที่ใดก็ได้ ที่เราไม่คลาดคิด ที่ ที่เราคิดว่าจะไม่เกิดแผ่นดินไหว มันก็เกิดขึ้นก็ได้ ที่ ที่เราคิดว่า ไม่เกิด ก็สามารถเกิดได้

ทุกที่พร้อมแล้วที่จะเกิด...

ความดีของมนุษย์เท่านั้น ที่จะรักษา ปกป้อง ป้องกันไว้ได้

21 เดือน 12 ปี 2012 โลกจะอวสานจริงหรือ ?????



โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน



ในวันที่ 21 เดือน 12 ปี 2012
โลกจะอวสานจริงหรือ ?? ?? ?? ??


1.ทางวิทยาศาสตร์ NASA ออกมาบอกว่าสนามแม่เหล็กโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง
2.ทางโหราศาสตร์ บ่งบอกว่าจะเกิดการเรียงตัวกันของ โลก กาแล็คซี่ทางช้างเผือก และดวงอาทิตย์
3.ทางโบราณคดี ชาวมายามีปฏิทินถึงเพียงแค่ปี 2012 และระบุวันจุดจบของโลกไว้
4.ทางการทำนาย นอสตราดามุสได้ทำนายไว้กับราศีตีความแล้วสอดคล้องกับทางโหราศาสตร์
5.ทาง UFO ผู้ที่ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้อ้างว่ามนุษย์ต่างดาวได้บอกเค้า(แล้วแต่ความเชื่อ)
6.ทางความคิดผมเอง ศาสนาพุทธและคริส ได้ระบุวันจุดจบไว้แล้วในปี พุทธศักราชและคริสศักราช


คำ ทำนายเรื่องวันสิ้นโลกนี้ มาจากวันในปฏิทินของชาวเผ่ามายัน (ชาวเผ่าโบราณที่อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาตอนกลาง) ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 21 ธันวาคม ปีคศ. 2012
ไม่ว่าจะทางใด ดูจากหลาย ๆ ทางแล้วชี้ไปในปีเดียวกัน ความเชื่อมั่นกับสิ่งที่จะเกิดในปี 2012 นั้นน่าจะมีอะไรเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ ๆ แต่ที่แน่ ๆ ในปัจจุบันผมมั่นใจว่ามันน่าจะเริ่มเกิดขึ้นแล้ว โดยสังเกตุจากผลกระทบจากภัยธรรมชาตินี่เอง เมื่อกลับมามองดูปี 2012 ก็เลยมานั่งพิจรณาดูเล่น ๆ (การนับเลขฐานสิบจะนับศูนย์ถึงเก้า) ถ้าเราตัดเลขสองออกก็จะได้เลขนับ 0->1->2 เมื่อมาดูเป็นปี พ.ศ. มันเป็นปี 2555 (เลยสวยมาก) ถ้าเราตัดเลขสองออกเช่นกัน จะได้เลข 5 เรียงตัวกัน 3 ตัวผมขอโยงไปเรื่องโหราศาตร์ที่จะมี โลก กาแล็คซี่ และดวงอาทิตย์ ที่จะเกิดการเรียงตัวกัน ผลลัพธ์นั้นคงบอกไม่ได้ อาจเกิดผลกระทบรุนแรงต่อโลกหรืออาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็ได้ เพราะสิ่งที่เราไม่รู้นั้นยังมีอีกมากมายทั้งในอวกาศและจักรวาล




1.ปฏิทินมายัน
ทำไมต้องเชื่อปฏิทินของชาวเผ่ามายัน

เป็น ที่ยอมรับว่าปฏิทินของชาวมายันมีความเที่ยงตรงอย่างมาก เที่ยงตรงกว่าปฏิทินระบบที่เราใช้กันในสากลมากมาย เพราะชาวมายันทำปฏิทินจากระบบดวงดาว โดยปฏิทินนี้ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอะไรเลยถึง 380,000 ปี (ในขณะที่ปฎิทินที่เราใช้ต้องมี Leap Year ทุกๆ 4 ปีเป็นต้น)
จะเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น
คำถามนี้เป็นปัญหาโลกแตก (literally speaking) จริงๆ เพราะนอกจากจะเกี่ยวกับเรื่องวันสิ้นโลกแล้ว ยังเป็นคำถามที่ไม่มีใครให้คำตอบที่แน่นอนได้ มีเพียงการคาดเดา การผูกโยงข้อมูลต่างๆ เพื่อทำนายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันสิ้นโลก (ดู 21 December 2012, Articles you need to read.) เหตุการณ์ที่คาดเดากันว่าจะเกิดและเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องมีทั้งเรื่องของ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติบนดวงอาทิตย์ที่จะเกิดผลกระทบยิ่งใหญ่กับระบบสุริยะ จักรวาลและโลกของเรา ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นจนถึงวันที่ 21 ธันวา 2012 การเปลี่ยนขั้วของขั้วโลกเหนือใต้ ฯลฯ
แล้วชาวมายันทำนายไว้ว่าอย่างไร
ชาว มายันไม่ได้เขียนชัดเจนว่า วันที่ 21 ธันวา 2012 จะเป็นวันสิ้นสุดของโลก มีผู้คนจำนวนมากเชื่อว่า มันคือวันที่โลกจะเปลี่ยนแปลงจากยุคหนึ่งเป็นอีกยุคหนึ่ง และเรามีหน้าที่ที่จะต้องเตรียมรับมือกับวันนั้นให้ได้ เพื่อความอยู่รอดจากการเปลี่ยนแปลง และหลังจากวันนั้น โลกของเราจะมีสันติสุขอย่างแท้จริง
ปฏิทินของชาวมายันโดยคร่าว
จาก ปฏิทินของชาวมายัน เรากำลังอยู่ในช่วงปลายของ 1 วันแห่งระบบจักรวาล หรือ End of a Galactic Day ซึ่งระยะเวลา 1 วัน แห่งระบบจักรวาลนั้นยาวนานถึง 25,625 ปี และแบ่งได้เป็น 5 ช่วง ช่วงละ 5,125 ปี และขณะนี้เราอยู่ในช่วงปลายของช่วงที่ 5 แล้ว ชาวมายันบอกว่า นับจากปี 1999 เราจะมีเวลา 13 ปีที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติและจิตสำนึกของการอยู่บนโลกใบนี้เพื่อที่จะรอดจาก การทำลายล้าง และในขณะเดียวกัน ก็ก้าวสู่เส้นทางที่จิตสำนึกใหม่ปูให้กับการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ตามศาสตร์ของชาวมายัน ทุกๆ 5,125 ปี ดวงอาทิตย์จะเกิดปรากฏการณ์บางอย่างที่สัมพันธ์กับศูนย์กลางทางช้างเผือกอัน กว้างใหญ่ และจากปรากฏการณ์นั้นเอง ดวงอาทิตย์จะได้รับ ?ประกายไฟ? (Spark of light) ซึ่งทำให้ดวงอาทิตย์ส่องแสงและส่งผ่านความร้อนรุนแรงมากขึ้น อย่างที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า ?Solar Flares? และยังทำให้ขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์เปลี่ยนแปลง ซึ่งส่งผลต่อมายังโลก เกิดการสับเปลี่ยนขั้วโลก และทำให้เกิดหายนะทางธรรมชาติตามมามากมาย ปรากฏการณ์เหล่านี้ ชาวมายันเชื่อว่าเป็นเพียงกระบวนการทางธรรมชาติกระบวนการหนึ่งที่จะเกิดขึ้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างสม่ำเสมอ เปรียบเหมือนการหายใจของคน และจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงหรือหยุดไป เหตุการณ์เหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 4 ครั้ง (4 รอบแรกของปรากฏการณ์จากดวงอาทิตย์) และจะเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 5 เมื่อครบ 5,125 ปี ซึ่งก็คือวันที่ 21 ธันวาคม 2012 นั่นเอง




2.Planet X NIBIRU

Planet X NIBIRU ที่มีวงโคจรตัดกับวงโคจรของโลกเราจะตัดผ่านมาใกล้โลกอีกครั้ง ดาวดวงนี้จะผ่านมาที่วงโคจรของเราทุกๆ3600 ปี นั่นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทวีปแอตแลนติกหายไป นั่นอาจเป้นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องโนฮากับเรือสมัยน้ำท่วมโลก
ดาวดวงนี้จะเข้ามาใกล้โลกเรื่อยๆปี 2009 จะสามารถมองเห็นทางขั้วโลกใต้ด้วยกล้องส่องดาว
ปี 2011 จะสามารถมองเห้นด้วยตาเปล่า ขนาดเท่าดวงจันทร์ของเรา ดาวดวงนี้เป็นสีแดง
ปี 2012 จะเริ่มมีปฏิริยาต่อมวลสภาพอากาศบนโลก เศษหินในอวกาศที่มากับดาวนิบิรุจะตกลงมาบนพื่นโลก เป็นฝนดาวตกอันตรายต่อมวลชีวิตทั้งโลก
วันที่ 21 ธันวาคม 2012 หายนะครั้งยิ่งใหญ่จะเกิดบนพื้นแผ่นดิน อย่างใครไม่เคยคาดคิดมาก่อน
วัน14 กุมภาพันธ์ 2013 วันนั้นเป็นวันที่ โลก +นิบิรุ+ดวงอาทิตย์ โคจรมาอยู่แนวแกนเดียวกัน แกนแม่เหล็กโลกจะเปลี่ยนไป
โลก จะหยุดหมุนรอบตัวเอง 3 วัน แผ่นดินจะแยกตัวเป็นเสี่ยง น้ำทะเลจะเป็นคลื่นมหาอภิสึนามิ ถล่มตามเมืองชายทะเลทุกแห่ง เมื่อแผ่นดินเคลื่อนตัวตามเปลือกโลก ลาวาก็จะถลักขึ้นมาเกิดเป็นภูเขาไฟมากมาย

3.UFOบอก ?? ??(แล้วแต่ความเชื่อ)

?อู แรนเดอร์ โอลิเวียร่า? ผู้ซึ่งอ้างว่าเคยได้ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวผู้โด่งดังนั้น ก็อ้างว่าเขามีโทรจิตที่เห็นภาพอนาคตจากการบอกเล่าของมนุษย์ต่างดาว ว่าในปี ค.ศ.2012 นั้น จะมีแสงสว่างมากที่สุดในกาแลกซี่และสะท้อนไปยังดาวเคราะห์ที่โคจรรอบตัว สิ่งมีชีวิตและโลกจะปั่นป่วนอย่างยิ่ง




(คงจะจำเครื่องนี้ได้ LHC)

4.หลุมดำ ?? ??

ในที่นี้ก์อคือทั้งหลุมดำของแกแล็กซี่ทางช้างเผือกและวหลุมดำพที่อาจเกิดขึ้นเองตามที่มนุษย์สร้างCERN
ในทางศาสนาพุทธ ถึงอย่างไรก็ยังผู้แย้งว่าพระพุทธเจ้าได้เคยตรัสกับพระอานนท์ไว้ ว่าในพุทศศาสนาจะมีอายุ5000ปีและมันจะเสื่อมลงในตัวของมันเอง ถึงอย่างไรก็ตามมันก็ยังคงเป็นเพียงคำทำนายที่ยังบอกคำตอบที่แท้จริงไม่ได้ หรอกว่าโลกเราจะอวสานวันไหน

************************************************************************

แกนโลกจะพลิกกลับขั้ว" Pole Shift " บรรดา ET กำลังให้ความช่วยเหลือในการรอดของมนุษย์




แบบจำลองคอมพิวเตอร์ ทำนายการพลิกกลับขั้วของแม่เหล็กโลก อาจนำมาสู่การสิ้นสุดอารยธรรมมนุษย์ในปี 2012


จากการทำงานของนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่ง ที่ได้ศึกษาปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัว บอกว่าโลกและดวงอาทิตย์ ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันและสัมพันธ์กัน โดยจะแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดกระบวนการหนึ่ง จนเกิดกระบวนการของการพลิกกลับขั้วเกิดขึ้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน เมื่อสัตว์จำพวกไดโนเสาร์ที่สาบสูญไปในช่วงเวลานั้น

ในการค้นคว้าวิจัยส่วนตัวและของบริษัท ได้วิเคราะห์หรือทำนายด้วยระบบคอมพิวเตอร์ Hyderabad ซึ่งมีแนวโน้มเกี่ยวกับการยกระดับพลังงานขึ้นสูงสุด จะเกิดขึ้นในปี 2012 นี้

การพลิกกลับขั้วของแกนแม่เหล็กโลก คือกระบวนการเมื่อขั้วทิศเหนือและขั้วทิศใต้กลับตำแหน่งกัน เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น, ที่จุดหนึ่งของเวลา สนามแม่เหล็กโลกจะลดลงเกือบจะถึงศูนย์เกาซ์ โลกที่จุดนั้นของเวลามีคุณสมบัติของแม่เหล็กเป็นศูนย์ สิ่งนี้บังเอิญมาเกิดขึ้นพร้อมกัน กับการหมุนรอบพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์ในทุกๆสิบเอ็ดปีพอดี

ในประวัตศาสตร์ของมนุษย์ยุคใหม่ ปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัวที่เคยเกิดขึ้นนั้นไม่เคยถูกบันทึกมาก่อน แต่ในปัจจุบัน, แบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์สามารถทำนายผลลัพธ์ที่เป็นจริงได้ ซึ่ง NASA เคยนำคำพูดที่น่ากลัว มากล่าวถึงในที่สาธารณะเกี่ยวกับการพลิกกลับขั้วจะทำคุณสมบัติของแม่เหล็ก ของโลกอ่อนแอและเบี่ยงเบนไป แต่ไม่ใช่ศูนย์

ตามแบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์ Hyderabad การพลิกกลับเกี่ยวกับขั้วของโลกและดวงอาทิตย์สามารถเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาที่จริงจังดังต่อไปนี้

- ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบบขีปนาวุธ ,computer)

- การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ

- ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ่อนอย่างมาก

- ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว และแผ่นดินถล่ม

- สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณถึงระดับ อันตราย ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้

- กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใกล้โลกได้ง่ายขึ้น

-แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม



ถ้าคุณรวมเค้าเรื่องการทำลายล้างกับเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ความเป็นไปได้เหล่านี้เป็นไปได้ทั้งหมด, คุณสามารถดูได้โดยง่าย, โลกอาจจะกลายเป็นที่ที่ไม่เหมาะสมสำหรับอารยธรรมของมนุษย์เมื่อถึงปี 2012 และผู้ที่จะรอดได้นั้นอาจต้องมีชีวิตอยู่ใด้ดินหรือใต้เปลือกโลกเท่านั้น..

.
กลุ่มนักค้นคว้าเรื่อง UFO จำนวนมาก (ในต่างประเทศ) ที่ได้ทำการติดต่อกับพวกเขาอย่างลับๆ รายงานว่ามนุษย์ต่างดาวได้ตระหนักถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับโลกในช่วงระยะอัน ใกล้นี้ ได้เข้ามาบันทึกและศึกษาเหตุการณ์การสูญพันธุ์ของรูปแบบอารยธรรมเกี่ยวกับ มนุษย์ อันเนี่องมาจากการขาดของความรู้ของเราเอง ขณะนี้เขากำลังจัดเตรียมเครื่องมือสำหรับการตรวจวัดและคัดเลือกมนุษย์ที่เขา จะช่วยชิวิตเอาไว้ได้จำนวนหนึ่งแล้ว...

พวกเขาได้รับสัญญาณและรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับโลก ว่ามีบางสิ่งที่รุนแรงจะเกิดขึ้น ซึ่งเขากำลังเตรียมช่วยเหลือเราอย่างเงียบๆ รวมถึงการเคลื่อนย้ายเราไปสู่ปลายทางที่ปลอดภัยที่เราไม่อาจรู้ (ซึ่งฃ่าวนี้ตรงกับข้อมูลทางกลุ่มเขากะลาของไทยที่บอกไว้คล้ายกัน เกี่ยวกับการเตรียมการช่วยเหลือตามจุดต่างๆ 8จุด ทั้งในไทยและต่างประเทศ)

หลายๆเหตุการณ์ เช่นTsunami, มันเป็นไปได้ที่เราจะงงงวยและจ้องมองมัน กับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ถ้าเรื่องราวนี้ถูกต้อง, มันอาจจะเป็นหนทางหนึ่งที่เราจะอยู่รอดจะเพื่ออารยธรรมของเรา บางทีเราอาจต้องเคลื่อนย้ายสู่ดาวเคราะห์อื่นๆ เช่นที่มันอาจจะเคยเกิดขึ้นบนดาวอังคารเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว...

******************************************************************************

บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด

เมื่อเร็วๆ มานี้ องค์การ NASA ได้เคยทำให้สาธารณะชนเกิดความหวาดหวั่นด้วยการออกมาเปิดเผยว่าการพลิกกลับ ของขั้วแม่เหล็กโลกจะทำให้ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลง และไร้ความมั่นคงแต่ไม่ถึงกับลดลงถึงระดับศูนย์
แต่จากการศึกษาร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่งกับกลุ่ม นักธรณีฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์พบว่า ทั้งโลกและดวงอาทิตย์จะสิ้นสุดระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการพลิกกลับของขั้วแม่ เหล็ก (Magnetic Pole Reversal) ในปี ค.ศ. 2012 โดยครั้งล่าสุดกระบวนการนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมาจนทำให้ สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สูญพันธุ์จนหมดสิ้น จากการค้นคว้าวิจัยและการวิเคราะห์ร่วมกันใน Hyderabad ได้คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงครั้งใหม่นี้จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2012

คำถาม......? โลกจะเป็นอย่างไรเมื่อขั้วแม่เหล็กโลกกำลังพลิกด้าน


การพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลก คือ กระบวนการที่ขั้วแม่เหล็กเหนือและขั้วแม่เหล็กใต้สลับตำแหน่งกัน เมื่อการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กนี้เกิดขึ้น ณ ขณะเวลาใดเวลาหนึ่ง (ซึ่งไม่สามารถทำนายได้ว่าจะกินเวลานานเท่าใด อาจกินเวลาแค่ 1 ช.ม. หรืออาจเป็นเดือนก็ได้) มันหมายถึงว่าค่าการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กโลกจะลดลงจนมีค่าเป็นศูนย์ หน่วยกาซ และโลก ณ ขณะเวลานั้นจะสูญเสียอำนาจแห่งสนามแม่เหล็กโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คำถาม.......? จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลก

โดยปกติสนามแม่เหล็กโลก จะเป็นเสมือนโล่กำบังที่ช่วยปกป้องโลกไว้อีกชั้นหนึ่งโดยเฉพาะ การช่วยกำบังโลกจากพายุสุริยะที่เกิดจากดวงอาทิตย์ แต่เมื่อไม่มีสนามแม่เหล็กโลกในเวลาที่ว่านั้น สิ่งมีชีวิตบนโลกจะต้องเจอกับหายนะ นั่นก็คือ พายุสุริยะ(บางคนเรียกลมสุริยะ มันเหมือนกันนะเดี๋ยวจะสับสน) พายุสุริยะ คือ พลังงานที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เกิดจากธาตุไฮโดรเจนบนพื้นผิวดวง อาทิตย์ ซึ่งจะถูกปล่อยออกมาสู่อวกาศด้วยแรงระเบิดมหาศาล ซึ่งพายุสุริยะนั้นประกอบด้วย รังสีคอสมิก(และอีกมากมาย) และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอันมหาศาล

คำถาม........? เราจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องเผชินกับพายุสุริยะ


'ฮารัลด์ เลสช์' (Harald Lesch) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย 'มิวนิค' ได้สร้างแบบจำลองสนามแม่เหล็กโลกขึ้นมาศึกษาในเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ เพื่อหาคำตอบว่าโลกเราจะเป็นอย่างไรหากไม่มีสนามแม่เหล็ก แบบจำลองที่ 'ฮารัลด์ เลสช์' สร้างขึ้นพบว่า ถ้าโลกเราถูกพายุสุริยะกระหน่ำ ผลที่ได้สร้างความประหลาดใจอย่างยิ่ง จากภาพจำลองที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นแสดงให้เห็นว่า เมื่อ มวลอนุภาคคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากพายุสุริยะมาถึงโลก จะทำปฏิกิริยากับชั้นบรรยากาศ เกิดเป็นสนามแม่เหล็กชุดใหม่มาแทนที่และทรงพลัง พอที่จะทานแรงปะทะของรังสีคอสมิก ทำให้รังสีคอสมิกที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์เบนออกสู่อวกาศแต่ทะว่าโลกเรา นั้นสามารถรอดพ้นจากอันตรายจากรังสีคอสมิกไปได้ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากกระบวนการนี้ไม่ได้เป็นผลดีต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกเลย ตามหลักแล้วกระแสไฟฟ้าจะไหลไปสู่ที่ๆมีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า และสนามแม่เหล็กชุดใหม่ที่จะเกิดขึ้นจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้นไม่ได้เสถียร เหมือนแม่เหล็กโลกเดิม ฉะนั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ทำปฏิกิริยากับบรรยากาศโลกย่อมไม่ได้หยุดอยู่ เพียงแค่นั้น สิ่งที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะกระทำต่อไปนั้นก็คือ การปลดปล่อยพลังงานไฟฟ้าอันมหาศาลสู่ที่ๆมีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า นั่นก็คือพื้นผิวโลก เหตุการณ์ที่ว่านี้คือ พายุฟ้าผ่านั้นเอง พายุฟ้าผ่านี้ อาจกินเนื้อที่ทั้งทวีปหรือทั่วโลก สายฟ้าที่กระหน่ำลงมาจากก้อนเมฆอิเล็กตรอนนั้น จะกระหน่ำผ่าลงมาทุกๆที่โดยไม่หยุดจนกว่าพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากพายุ สุริยะจะหมดลง และจะเกิดขึ้นอีกถ้าพายุสุริยะลูกต่อไปมาถึง หรือจนกว่าการกลับขั้วของแม่เหล็กโลกจะเสร็จสมบูรณ์จนทำให้กระบวนการสร้าง สนามแม่เหล็กโลกจะทำงานได้อีก สิ่งมีชีวิตบนโลกมากมายจะต้องตาย และเทคโนโลยีต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้นจะถูกทำลายลงในครั้งนี้ แต่ถ้ารังสีคอสมิกสามารถหลุดรอดมากจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้ สิ่งมีชีวิตที่รอดจากการถูกฟ้าผ่า ก็อาจจะต้องตายจากโรคมะเล็งและความร้อน

คำถาม........? เมื่อสนามแม่เหล็กโลกเกิดการพลิกตัวอย่างสมบูรณ์จะเกิดอะไรขึ้นกับโลก

สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้อาจะเหลือเชื่อแต่ตามหลักการแล้วย่อมเป็นไปได้ การพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนี้ไม่ได้ทำให้เกิดความหายนะจากพายุสุริยะแค่ เพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดหายนะจากการหมุนกลับทางของโลกที่จะเกิดตามมาอีก ยกตัวอย่าง เช่น การหมุนของมอเตอร์ มอเตอร์แบบธรรมดามี 2 ขั้ว โดยให้สัญลักษณ์ A และ B ก่อนที่ขั้วแม่เหล็กโลกจะพลิกตัว ให้เปรียบโดยการใช้ ไฟฟ้าขั้ว + ต่อเข้ากับ A และไฟฟ้าขั้ว - ต่อเข้ากับ B มอเตอร์จะหมุนไปทางใดทางหนึ่ง แต่เมื่อเราต่อขั้วไฟฟ้ากลับด้านกัน ย่อมทำให้มอเตอร์เกิดการหมุนทิศทางตรงกันข้ามกับครั้งแรก และนี่ก็เปรียบกับการพลิกด้านของขั้วแม่เหล็กโลกนั่นเอง

คำถาม........? แล้วสิ่งมีชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป


เมื่อโลกหมุนกลับทาง สิ่งมีชีวิตที่เหลืออาจจะต้องเจอกับภัยธรรมชาติมากมาย โลกหมุนกลับทางย่อมทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยน ทั้งกระแสน้ำทะเล กระแสลม รวมถึงแผ่นดิน จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นย่อมไม่มีใครรู้ได้ มนุษย์และสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตรอด จะปรับตัวอย่างไรเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก มนุษย์ที่เหลือจะทำอย่างไรเมื่อวันนั้นมาถึง...........................

ในแง่ความคิดของผู้มีญาณในไทย

ผู้มีฌาณทั้งหลายได้บรรยายภาพที่ได้เห็นมาว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตบ้าง เช่นประเทศไทยในอนาคตจะเหลือแค่ภาคเหนือและภาคอีสานเท่านั้น ที่เป็นพื้นที่แผ่นดินผืนใหญ่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะรอดพ้นภัย อย่างเช่นที่เชียงใหม่ จะเกิดการยุบตัวและการเลื่อนของผิวดิน ภูเขาจะถล่มลงมา... ประมาณนี้ครับ
แต่จะเริ่มเห็นลางภัยพิบัติในครั้งนี้ชัดเจนขึ้นในอีกประมาณ 5 ปีนับจากนี้ และจะเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ เช่นมีภัยพิบัติมากกว่าเดิมในหลายๆที่ ไปจนถึงเวลาที่แกนโลกพลิกตัวจริงๆ ในอีก 10-15ปี


-----------------------------------------------------------------------------------------------

ขอขอบพระคุณเจ้าของกระทู้ครับ

ที่มา : 21 -12 -2012 วันสิ้นโลก !!



11 กรกฎาคม 2552

สุดยอดภาพถ่าย มีคอนเซ็ป

ภาพถ่ายระดับโลกเชียวน่ะ

GetAttachment.jpg (26.51 KB)

GetAttachment.jpg


GetAttachment.aspx1.jpg (44.56 KB)

GetAttachment.aspx1.jpg


GetAttachment.aspx2.jpg (24.16 KB)

GetAttachment.aspx2.jpg


GetAttachment.aspx3.jpg (26.98 KB)

GetAttachment.aspx3.jpg


GetAttachment.aspx4.jpg (29.01 KB)

GetAttachment.aspx4.jpg


GetAttachment.aspx5.jpg (72.29 KB)

GetAttachment.aspx5.jpg


GetAttachment.aspx6.jpg (24.86 KB)

GetAttachment.aspx6.jpg


GetAttachment.aspx7.jpg (22.21 KB)

GetAttachment.aspx7.jpg


GetAttachment.aspx8.jpg (37.44 KB)

GetAttachment.aspx8.jpg


GetAttachment.aspx9.jpg (30.86 KB)

GetAttachment.aspx9.jpg


GetAttachment.aspx10.jpg (24.46 KB)

GetAttachment.aspx10.jpg

รวมภาพถ่ายรางวัลพูลิเซอร์

รวมภาพถ่ายรางวัลพูลิเซอร์



































10 กรกฎาคม 2552

File Type ไฟล์ไหน ใช้โปรแกรมอะไรเปิด

File Type ไฟล์ไหน ใช้โปรแก รมอะไรเปิด
FileType- ประเภทของไฟล์ หรือนามสกุลของไฟล์จะเป็นตัวบ่งบอกว่าเป็นไฟล์อะไรสามารถใช้โปรแกรมอะไรเปิด ได้บ้าง การเรียนรู้ หรือเข้าใจประเภทของไฟล์ต่างๆย่อมจะมีส่วนช่วยให้เราสามารถทำงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากขึ้นลักษณะของนามสกุลของไฟล์จะอยู่หลังชื่อ เช่น Readme.txt นามสกุลของไฟล์คือ.txtเป็นต้น

นามสกุลไฟล์โปรแกรมที่สามารถเปิดได้
.asp Text Editor ทั่วไป


.avi Windows Media Player,Quick Time, ACDsee เวอร์ชั่นใหม่ๆ


.bakขึ้นอยู่กับว่าสร้างโดยโปรแกรมอะไร


.batทำงานโดยเรียกโปรแกรมอื่น ๆ


.bmpPhotoshop, ACDsee, Quick view และโปรแกรมที่ใช้ตกแต่งภาพ


.comทำงานได้ตัวมันเอง


.datPower DVD, Windows Media Player และอื่นๆ อีกมาก


.dbfDbase,Foxpro, Access,Excel


.docMS Word, WordPAD


.exeทำงานได้ตัวมันเอง


.gifPhotoshop, ACDsee, Quick view และโปรแกรมที่ใช้ตกแต่งภาพ


.htm,htmlBrowser เช่น Netscape, IE, Opera และ Browser อื่นๆ รวมทั้งโปรแกรม Text Editor ทั่วไป


.iniNotePad, Wordpad, Editor ทั่วไป


.jpgJpeg ไฟล์ เป็นไฟล์รูปภาพประเภทหนึ่งPhotoshop, ACDsee, Quick view และโปรแกรมที่ใช้ตกแต่งภาพ


.lnkLink ไฟล์ ลิงค์ไฟล์ของ MS WindowsMS Windows


.logLog ไฟล์ คือไฟล์ที่เก็บการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งNotePad, WordPad, Editor ทั่วไป


.midMiDi ไฟล์ เป็นไฟล์เพลงที่มีแต่เสียงดนตรีWinamp, Sonique, Windows Media Player และอื่นๆ


.mp3MP3 ไฟล์ เป็นไฟล์เพลงประเภทหนึ่งWinamp, Sonique, Windows Media Player และอื่นๆ


.oggOGG ไฟล์ เป็นไฟล์เพลงประเภทหนึ่ง ที่มีขนาดเล็กกว่า MP3Winamp, Sonique, FreeAmp


.pdfPDF ไฟล์ เป็นไฟล์ขนาดเล็ก คุณภาพสูงจากค่าย AdobeAcrobat Reader (ฟรีแวร์ที่ download ได้ฟรี)


.pptPowerpoint ไฟล์ เป็นไฟล์พรีเซ็นเทชั่นMS Powerpoint


.prgProgram ไฟล์ เป็น Text ไฟล์ประเภทหนึ่งNotePad, WordPad หรือ text editor ต่างๆ


.psdPSD ไฟล์ เป็นไฟล์รูปภาพประเภทหนึ่งPhotoshop, ACDsee และโปรแกรมเกี่ยวกับการตกแต่งภาพ


.scrScreen Saver ไฟล์ คือไฟล์โปรแกรมพักหน้าจอMS Windows


.swfFlash File ภาพเคลื่อนไหว ของค่าย Macromedia Macromedia Flash และโปรแกรมอื่นๆ ที่ support


.tifTiff ไฟล์ เป็นไฟล์รูปภาพประเภทหนึ่งPhotoshop, ACDsee, Quick view และโปรแกรมที่ใช้ตกแต่งภาพ


.txtText ไฟล์ ธรรมดาNotePad, WordPad, Word หรือ text editor ต่างๆ


.wavWave ไฟล์ เป็นไฟล์เพลงประเภทหนึ่งWinamp, Sonique, Windows Media Player และอื่นๆ


.xls, xlwExcel ไฟล์ คือไฟล์ตารางข้อมูลMS Excel


.zipZip ไฟล์ คือไฟล์ที่ถูกบีบอัดข้อมูลWinzip, Pkzip, Winrar

Key ลัด หัดใช้ไว้

Key ลัด หัดใช้ไว้ เซียน เค้าใช้กัน จาได้เก่งๆ CTRL+C (คัดลอก)
CTRL+X (ตัด)
CTRL+V (ว่าง หรือ แปะ)
CTRL+Z (ย้อนกับ)ไช้สำหลับ การ พิม งาน

DELETE (ลบ)
SHIFT+DELETE (ลบรายการที่เลือกทิ้งอย่างถาวรโดยไม่มีการวางรายการใน แปรสภาพ bin)

CTRL+ ลาก ข้อความ ( ในขณะที่ลากรายการ (คัดลอกรายการที่เลือก)
CTRL+SHIFT ในขณะที่ลากรายการ(สร้างปุ่มลัดสำหรับรายการที่เลือก) F2 key (เปลี่ยนชื่อในรายการที่เลือก)
CTRL+ลูกศร ขวา (ย้ายที่กรอกชี้ไปที่เริ่มต้นของการต่อไปคำ)
CTRL+ลูกศร ซ้าย (ย้ายที่กรอกชี้ไปที่เริ่มต้นของคำก่อนหน้า)
CTRL+ ลูกศร ลง (ย้ายที่กรอกชี้ไปที่เริ่มต้นของคำก่อนหน้า)
CTRL+ลูกศร ขึ้น (ย้ายที่กรอกชี้ไปที่เริ่มต้นของความในวรรคก่อน)
CTRL+SHIFT อันไดอันนึ่งของปุ่มลูกศร(เน้นข้อความของกล่อง)

SHIFT อันไดอันนึ่ง ของปุ่มลูกศร(เลือกมากกว่าหนึ่งในรายการหน้าต่างหรือบนพื้นโต๊ะ,หรือเลือกข้อความในเ
อกสาร)
CTRL+A (เลือกทั้งหมด)

F3 key (ค้นหาแฟ้มหรือโฟลเดอร์)
ALT+ENTER (แสดงข้อมูลคุณสมบัติสำหรับรายการที่เลือก)
ALT+F4 (ปิดรายการที่กำลังทำงานอยู่หรือออกจากโปรแกรมที่ทำงานอยู่)
ALT+ENTER (แสดงคุณสมบัติของวัตถุที่เลือก)
ALT+SPACEBAR (ปุ่มลัดสำหรับเปิดเมนูหน้าต่างที่เปิดใช้อยู่สำหรับ)

CTRL+F4 (ปิดเอกสารที่เปิดใช้อยู่ในหลักสูตรที่เปิดใช้คุณจะต้องเปิดพร้อมกันหลายเอกสาร)
ALT+TAB (สลับไปมาระหว่างการเปิดรายการ )
ALT+ESC (วงจรผ่านรายการในคำสั่งว่าเขาได้เปิด)
F6 key (วัฏจักรขาขึ้นโดยผ่านการจอองค์ประกอบในหน้าต่างหรือบนพื้นโต๊ะ )
F4 key (แสดงแถบที่อยู่ในรายการหน้าต่างหรือคอมพิวเตอร์ของฉัน)
SHIFT+F10 (แสดงปุ่มลัดเมนูสำหรับรายการที่เลือก)

ALT+SPACEBAR (แสดงเมนูระบบสำหรับหน้าต่างที่ทำงานอยู่ )
CTRL+ESC (แสดงเมนูที่เริ่ม)
ALT+ขีดเส้นใต้ในเมนูจดหมายชื่อ(แสดงเมนูที่สอดคล้องกับ)
ขีดเส้นใต้ในจดหมายเป็นชื่อที่มีคำสั่งเปิดเมนู(ปฏิบัติที่สอดคล้องกับคำสั่ง)
F10 key (เปิดใช้ในแถบเมนูในโปรแกรมที่ทำงานอยู่)
ขวา ลูกศร (เปิดในเมนูไปทางขวาหรือเปิดเมนูย่อย)
ลูกศร ซ้าย (เปิดในเมนูไปทางซ้ายหรือปิดเมนูย่อย)
F5 key ( update หน้าต่างที่ทำงานอยู่)
BACKSPACE (ดูที่โฟลเดอร์ในระดับหนึ่งขึ้นในคอมพิวเตอร์หรือหน้าต่าง Internet Explorer )
SHIFT เมื่อคุณใส่แผ่น cd - rom เข้าไปในเครื่อง cd - rom (ป้องกันไม่ให้เครื่อง cd - rom โดยอัตโนมัติจากการ เล่น)



Ver. Eng

CTRL+C (Copy)
CTRL+X (Cut)
CTRL+V (Paste)
CTRL+Z (Undo)

DELETE (Delete)
SHIFT+DELETE (Delete the selected item permanently without placing the item in the Recycle Bin)

CTRL while dragging an item (Copy the selected item)
CTRL+SHIFT while dragging an item (Create a shortcut to the selected item)

F2 key (Rename the selected item)
CTRL+RIGHT ARROW (Move the insertion point to the beginning of the next word)
CTRL+LEFT ARROW (Move the insertion point to the beginning of the previous word)

CTRL+DOWN ARROW (Move the insertion point to the beginning of the next paragraph)
CTRL+UP ARROW (Move the insertion point to the beginning of the previous paragraph)
CTRL+SHIFT with any of the arrow keys (Highlight a block of text)

SHIFT with any of the arrow keys (Select more than one item in a window or on the desktop, or select text in a document)
CTRL+A (Select all)
F3 key (Search for a file or a folder)
ALT+ENTER (View the properties for the selected item)
ALT+F4 (Close the active item, or quit the active program)

ALT+ENTER (Display the properties of the selected object)
ALT+SPACEBAR (Open the shortcut menu for the active window)
CTRL+F4 (Close the active document in programs that enable you to have multiple documents open simultaneously)
ALT+TAB (Switch between the open items)
ALT+ESC (Cycle through items in the order that they had been opened)

F6 key (Cycle through the screen elements in a window or on the desktop)
F4 key (Display the Address bar list in My Computer or Windows Explorer)
SHIFT+F10 (Display the shortcut menu for the selected item)
ALT+SPACEBAR (Display the System menu for the active window)
CTRL+ESC (Display the Start menu)

ALT+Underlined letter in a menu name (Display the corresponding menu)
Underlined letter in a command name on an open menu (Perform the corresponding command)
F10 key (Activate the menu bar in the active program)
RIGHT ARROW (Open the next menu to the right, or open a submenu)
LEFT ARROW (Open the next menu to the left, or close a submenu)

F5 key (Update the active window)
BACKSPACE (View the folder one level up in My Computer or Windows Explorer)
ESC (Cancel the current task)
SHIFT when you insert a CD-ROM into the CD-ROM drive (Prevent the CD-ROM from automatically playing)



เครดิต E-SanClub

7 ขั้นตอนง่ายๆ เพื่อให้ Google รู้จักเว็บเราภายใน 24 ชั่วโมง

7 ขั้นตอนง่ายๆ เพื่อให้ Google รู้จักเว็บเราภายใน 24 ชั่วโมง

เป็นวิธีเบื้องต้นง่ายๆ ที่ทำให้ Google นำเว็บเราไปไว้ใน Search Engine ครับ

อิางอิงจาก 7 Steps to Get Your New Site Indexed in 24 hours

1. Create 5 pages of content
ให้เราสร้างหน้าเพจของเว็บ อย่างน้อย 5 หน้า เช่น ทำเว็บประเทศไทย
ก็อาจจะมี หน้าแรก, ประวัติศาสตร์ประเทศไทย, ประเทศไทยในปัจจุบัน, สถิติประเทศไทย,
ติดต่อเรา ใส่เนื้อหาลงไปสักหน่อยเพื่อให้ดูเป็นเว็บไซตที่มีสา ระสักหน่อย ไม่แนะนำให้ทำเป็น


2. Create Internal Links to your Pages
สร้างลิงค์ภายในเว็บ ให้ทุกหน้าที่เราทำในขั้นตอนแรก เชื่อมถึงกันให้หมด
อาจจะมีลิงคืภายนอกสัก 1 - 2 ลิงค์


3. Tag on Social Bookmarking Sites
ให้ระบบของ Social Bookmarking ช่วยเรา
โดยการเป็นสมาชิกของ Del.icio.us, BlinkList, StumbleUpon.com,BlinkList หรือ Furl
จากนั้น ให้เพิ่มเว็บเรา หรือหน้าเพจที่เราททุกหน้า ลงใน Bookmark ซะ
เพราะ search engine bots ชอบเข้าไปสืบค้นจากเว็บพวกนี้อยู่แล้ว


4. Comment on popular and recent blogs (with your link)
ไปแสดงความเห็นตามเว็บไซต์หรือ blog ดังๆ อาจจะสัก 4-5 แห่ง
โดยที่แสดงความเห็นที่เป็นประโยชน์ (ไม่แนะนำให้ spam) และให้ใส่ลิงค์เว็บของเราไปด้วย
โดยถ้าเว็บเราเกี่ยวข้องกับเนื้อหาใน blog ก็แสดงในความเห็นแนะนำเข้ามาอ่านได้เลย
แต่ถ้าไม่เกี่ยว ก็ให้ใส่ใน url ของผู้แสดงความเห็นแทน และแนะนำอีกที่คือ
มนเว็บบอร์ดครับ ตรงของ Signature ก็ให้ใส่ลิงค์ของเว็บเราเข้าไปด้วย


5. Create, Submit, and Ping your XML Sitemap
ไปสร้างบัญชีสมาชิกใน Google Webmaster Central และทำ sitemap
เพื่อให้ Google ได้ทำการ ping เว็บไซต์ของเรา


6. Install Google Analytics
ติดตั้ง Google Analytics ในเว็บไซต์ของเรา โดยการไปเปิดบัญชีกับเขาไว้ (ฟรี)
แล้วก็เอา Code มาติด เราก็จะทำให้ Google
รู้จักเว็บไซต์เราอีกทางหนึ่งรวมทั้งได้สถิติดีๆ ไว้ใช้งานอีกด้วย



7. Run some Google Ads
เปิดบัญชี Google Adwords เพื่อทำการโฆษณากับ Google (เสียเงิน)
โดยใช้ keyword แบบ long tail หรือชื่อบริษัท หรือชื่อโดเมน ซึ่งวิธีนี้ผมว่าไม่ต้องทำก็ได้
เสียเงินเปล่าๆ สำหรับผู้เริ่มต้นใหม่ และเว็บยังไม่มีเนื้อหาอะไรมากมาย

รวมคำสั่ง Run ที่ใช้ทั้งหมด

รวมคำสั่ง Run ที่ใช้ทั้งหมด

เรียกโปรแกรม Accessibility Options —> access.cpl
เรียกโปรแกรม Add Hardware —> hdwwiz.cpl
เรียกโปรแกรม Add/Remove Programs —> appwiz.cpl
เรียกโปรแกรม Administrative Tools control —> admintools
ตั้งค่า Automatic Updates —> wuaucpl.cpl
เรียกโปรแกรม Bluetooth Transfer Wizard —> fsquirt
เรียกโปรแกรม เครื่องคิดเลข (Calculator) —> calc
เรียกโปรแกรม Certificate Manager —> certmgr.msc
เรียกโปรแกรม Character Map —> charmap
เรียกโปรแกรม ตรวจสอบดิสก์ (Check Disk Utility) —> chkdsk
เรียกดูคลิปบอร์ด (Clipboard Viewer) —> clipbrd
เรียกหน้าต่างดอส (Command Prompt) —> cmd
เรียกโปรแกรม Component Services —> dcomcnfg
เรียกโปรแกรม Computer Management —> compmgmt.msc
เรียกดู/ตั้ง เวลาและวันที่ —> timedate.cpl
เรียกหน้าต่าง Device Manager —> devmgmt.msc
เรียกดูข้อมูล Direct X (Direct X Troubleshooter) —> dxdiag
เรียกโปรแกรม Disk Cleanup Utility —> cleanmgr
เรียกโปรแกรม Disk Defragment —> dfrg.msc
เรียกโปรแกรม Disk Management —> diskmgmt.msc
เรียกโปรแกรม Disk Partition Manager —> diskpart
เรียกหน้าต่าง Display Properties control desktop —> desk.cpl
เรียกหน้าต่าง Display Properties เพื่อปรับสีวินโดวส์ —> control color
เรียกดูโปรแกรมช่วยแก้ไขปัญหา (Dr. Watson) —> drwtsn32
เรียกโปรแกรมตรวจสอบไดร์ฟเวอร์ (Driver Verifier Utility) —> verifier
เรียกดูประวัติการทำงานของเครื่อง (Event Viewer) —> eventvwr.msc
เรียกเครื่องมือตรวจสอบไฟล์ File Signature Verification Tool —> sigverif
เรียกหน้าต่าง Folders Options control —> folders
เรียกโปรแกรมจัดการ Fonts —> control fonts
เปิดไปยังโฟลเดอร์ Fonts (Fonts Folder) —> fonts
เรียกเกม Free Cell —> freecell
เปิดหน้าต่าง Game Controllers —> joy.cpl
เปิดโปรแกรมแก้ไข Group Policy (ใช้กับ XP Home ไม่ได้) —> gpedit.msc
เรียกโปรแกรมสร้างไฟล์ Setup (Iexpress Wizard) —> iexpress
เรียกโปรแกรม Indexing Service —> ciadv.msc
เรียกหน้าต่าง Internet Properties —> inetcpl.cpl
เรียกหน้าต่าง Keyboard Properties —> control keyboard
แก้ไขค่าความปลอดภัย (Local Security Settings) —> secpol.msc
แก้ไขผู้ใช้ (Local Users and Groups) —> lusrmgr.msc
คำสั่ง Log-off —> logoff
เรียกหน้าต่าง Mouse Properties control mouse main.cpl
เรียกหน้าต่าง Network Connections control netconnections —> ncpa.cpl
เรียกหน้าต่าง Network Setup Wizard —> netsetup.cpl
เรียกโปรแกรม Notepad —> notepad
เรียกคีย์บอร์ดบนหน้าจอ (On Screen Keyboard) —> osk
เรียกหน้าต่าง Performance Monitor —> perfmon.msc
เรียกหน้าต่าง Power Options Properties —> powercfg.cpl
เรียกโปรแกรม Private Character Editor —> eudcedit
เรียกหน้าต่าง Regional Settings —> intl.cpl
เรียกหน้าต่าง Registry Editor —> regedit
เรียกโปรแกรม Remote Desktop —> mstsc
เรียกหน้าต่าง Removable Storage —> ntmsmgr.msc
เรียกหน้าต่าง Removable Storage Operator Requests —> ntmsoprq.msc
เรียกดู Policy ที่ตั้งไว้ (ใช้กับ XP Home ไม่ได้) —> rsop.msc
เรียกหน้าต่าง Scanners and Cameras —> sticpl.cpl
เรียกโปรแกรม Scheduled Tasks control —> schedtasks
เรียกหน้าต่าง Security Center —> wscui.cpl
เรียกหน้าต่าง Services —> services.msc
เรียกหน้าต่าง Shared Folders —> fsmgmt.msc
คำสั่ง Shuts Down —> shutdown
เรียกหน้าต่าง Sounds and Audio —> mmsys.cpl
เรียกเกม Spider Solitare —> spider
แก้ไขไฟล์ระบบ (System Configuration Editor) —> sysedit
แก้ไขการตั้งค่าระบบ (System Configuration Utility) —> msconfig
ตรวจสอบระบบด้วย System File Checker Utility (เริ่มทันที) —> sfc /scannow
ตรวจสอบระบบด้วย System File Checker Utility (เริ่มเมื่อบู๊ต) —> sfc /scanonce
เรียกหน้าต่าง System Properties —> sysdm.cpl
เรียกหน้าต่าง Task Manager —> taskmgr
เรียกหน้าต่าง User Account Management —> nusrmgr.cpl
เรียกโปรแกรม Utility Manager —> utilman
เรียกโปรแกรม Windows Firewall —> firewall.cpl
เรียกโปรแกรม Windows Magnifier —> magnify
เรียกหน้าต่าง Windows Management Infrastructure —> wmimgmt.msc
เรียกหน้าต่าง Windows System Security Tool —> syskey
เรียกตัวอัพเดตวินโดวส์ (Windows Update) —> wupdmgr
เรียกโปรแกรม Wordpad —> write

วิธีเลือกใช้ฟรีโปรแกรม Antivirus

วิธีเลือกใช้ฟรีโปรแกรม Antivirus
ของ ฟรีใครๆ ก็ชอบ แต่เราก็ควรเลือกใช้ของฟรีให้เหมาะสมและถูกต้อง และศึกษาความสามารถของโปรแกรมนั้นๆ ว่า ครอบคลุมการทำงานได้แค่นี้ เพราะบางโปรแกรมที่แจกฟรี ก็จำกัดความสามารถไว้บางส่วน แต่อย่างไรก็ตาม วันนี้ผมมีคำแนะนำดีๆ ที่ผ่านการทดสอบและใช้งานมาแล้วมาฝากเพื่อนๆ ชาวไอที-ไกด์ ดอทคอม ทุกคน เพื่อใช้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการนำไปใช้ครับ


วิธีเลือกใช้ฟรีโปรแกรม Antivirus



ทำไมต้อง ฟรีโปรแกรม avast! Home Edition

แจกฟรีให้ใช้งานได้ทุกคนเฉพาะผู้ใช้งานตามบ้าน และไม่ใช่ธุรกิจเพื่อการค้า
ต้องลงทะเบียนขอรับ serial number และมีอายุการใช้งาน 1 ปี แต่สามารถต่ออายุได้ภายหลัง (การลงทะเบียน สามารถลงทะเบียนผ่านหน้าเว็บไซต์ของ avast! และจะได้รับ serial number ตอบกลับผ่านอีเมล ทันที)
รองรับการตรวจสอบและกำจัด ไวรัสและสปายแวร์ (ฟรีโปรแกรมอื่นๆ มีแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง)
สามารถอัปเดทโปรแกรมแบบ real time ได้ ไม่ต้องกดปุ่ม update เอง
สามารถตรวจสอบไวรัส จากการเล่น IM หรือโหลดข้อมูลประเภท P2P
รองรับการตรวจสอบไวรัสจากอีเมลได้ด้วย
รองรับการป้องกันไวรัสจากระบบเครือข่าย
รองรับการป้องกันไวรัสจากเว็บ
สามารถเปลี่ยน Skin หรือหน้าตาของโปรแกรมได้
ใช้งานง่าย เพราะมีไอคอนช่วยในการใช้งาน

สนใจ download avast! Home Edition ขนาดไฟล์ประมาณ 300 KB

ข้อควรระวัง

ห้ามติดตั้งโปรแกรม Antivirus มากกว่า 1 ตัวในเครื่องเดียวกันน่ะครับ เพราะอาจทำให้เครื่องค้าง และไม่สามารถเข้า Windows ได้


ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก...
__________________