28 พฤศจิกายน 2553

5 ข้อไม่ควรปฏิบัติเกี่ยวกับการ"นอน" ข้อสุดท้ายถ้ายังฝืนทำ คุณอาจไม่ได้ตื่นตลอดกาล!



1.อย่านอนหลับไปพร้อมๆ กับนาฬิกาข้อมือ เพราะขณะที่นาฬิกาทำงานไปเรื่อยๆ นั้น ล้วนปล่อยพลังงานทั้งสิ้น เชื่อมั้ยว่าการใส่นาฬิกาข้อมือนอน จะมีผลต่อสุขภาพระยะยาวเลย

2.อย่าคุยโทรศัพท์มือถือจนหลับ รวม ถึงอย่าวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ๆ ตัวด้วย บางคนที่ชอบใช้มือถือเป็นนาฬิกาปลุกยามเช้า กรุณาเก็บมือถือของท่านไว้ให้ไกลตัวที่สุดเมื่อจะนอน ซะเถอะ ไปหาซื้อนาฬิกาปลุกถูกๆ ดีๆ เก๋ๆ มาใช้ดีกว่า เพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า โทรศัพท์ มือถือเครื่องจิ๋วเนี่ย จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาขณะเปิดเครื่องไว้ และ เจ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ มีผลกับระบบประสาทซะด้วยสิ เพราะฉะนั้น ตอนนอนก็ปิดโทรศัพท์มือถือซะดีกว่า พอปิดโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยแล้ว จะวางไว้ใกล้หรือไกลก็หายห่วง

3.อย่าหลับพร้อมๆ กับเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าขนาดไหน ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด เพราะการหลับทั้งๆ ที่เครื่องสำอางยังคาอยู่ที่ผิวหน้านั้น จะก่อให้เกิดปัญหาด้านผิวพรรณระยะยาว กลางคืนคือช่วงเวลาที่ผิวพรรณจะได้พักผ่อนบ้างนะค่ะ

4.อย่านอนหลับทั้งๆ ที่ยังใส่ยกทรง นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ค้นพบว่าการใส่ยกทรงนานเกิน 12 ชั่วโมง จะเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทรวงอกได้ ฉะนั้น ก็อย่าใส่ยกทรงนอนเลย ไม่ต้องกลัวเสียทรง ไม่ต้องกลัวอกแบะ ห่วงชีวิตไว้ก่อนดีกว่า

5.อย่านอนกับสามีหรือภรรยาของคนอื่น เพราะคุณอาจจะไม่ได้ตื่นอีกเลย . . . (อันนี้ขำๆ ค่ะ แต่ถ้าแฟนเขารู้คุณๆ อาจขำไม่ออกนะจ๊ะ)

03 พฤศจิกายน 2553

หวังไปถึงปลายฝัน...

จงมีความไฝ่ฝัน มีจินตนาการ และสร้างกำลังใจให้ตนเอง...



มีคำกล่าวว่า...


"ชีวิตจะเป็นเช่นไรขึ้นอยู่กับกำลังใจและความเชื่อของ เรา"

ถ้าไม่มีความเชื่อก็จะไม่มีความฝันหรือความคิดอะไร

นอกเหนือจากจะทนอยู่กับสภาพเดิม ๆ ...

สิ่งที่สำคัญต่อจากความเชื่อนั่นก็คือ "กำลังใจ" นั่นเอง...

หากคิดว่าเราทำได้ เราก็ทำได้...

หากคิดว่าเราชนะ เราก็จะชนะ...

แต่หากคิดว่าแพ้ โอกาสแพ้ก็จะมีมากเหลือเกิน...

ความคิดในวันนี้ของท่านหากคิดว่าเป็นไปไม่ได้...

ท่านอาจจะแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ลงมือกระทำเสียด้วยซ ้ำไป

สำคัญที่สุดคือการมีความคิด "คิดบวก" เสมอ...

ตามที่นโปเลียนเคยกล่าวว่า...

"คำว่าเป็นไปไม่ได้ มีอยู่แต่ในพจนานุกรมของคนโง่เท่านั้น"

จงมีความไฝ่ฝัน...มีจินตนาการ...และสร้างกำลังใจให้ต นเอง...

เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนชีวิตให้ไปในทางที่ดีกว่าเดิม ...

วิธีสร้างกำลังใจตามคำแนะนำของนายแพทย์ วิทยา นาควัชระ ที่น่าสนใจมีดังนี้

1. ให้มองความดีของตัวเองให้เด่นชัดในบางเรื่อง

แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม ให้คิดซ้ำ ๆ ว่าตัวเองเป็นคนดี เป็นคนเก่ง

2. จงฝันเห็นภาพของความสำเร็จเสมอ เพราะภาพความสำเร็จจะทำให้จิตใจเบิกบาน

3. จงมีความรักที่จะทำกิจกรรมต่าง ๆ เสมอ เพราะความรักจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่ดี

4. ลงมือทำกิจกรรมเสมอ และจดจำสิ่งที่ทำได้ดี

5. ให้ชมตัวเองทุกครั้งเมื่อลงมือกระทำสิ่งใดลงไป

ชีวิตที่มีพลังต้องสร้างกำลังใจอยู่เสมอ

และคิดเสมอว่าไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้

หากยังล้มเหลวขอให้คิดเสมอว่า...

ยังมีโอกาสสร้างฝันและเริ่มต้นใหม่ได้เสมอในวันพรุ่ง นี้...










"ประสบการณ์และผลพวงที่ความพ่ายแพ้นำมาสู่ข้าพเจ้าก็ค ือ..มันเป็นหลักฐานสำคัญที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่า

การทำเช่นนี้ไม่อาจประสบความสำเร็จได้...

ครั้งต่อไปข้าพเจ้าก็สามารถหลีกเลี่ยงความผิดพลาดในท ำนองเดียวกันได้"



..เอดิสัน.

02 พฤศจิกายน 2553

2 - 3 วิธีง่ายๆกับการ write flac เป็น CD audio

เป็นคำถามที่ได้รับบ่อยมากว่าทำอย่างไร?
เลยเอาวิธีที่เคยตอบ มารวมไว้ตรงนี้...

ก่อนอื่นขออธิบายสั้นๆเกี่ยวกับไฟล์ที่นามสกุล .cue หรือ cuesheet ที่เป็นชื่อเต็มของไฟล์นี้
cuesheet เป็นไฟล์คล้ายๆกับ catalogue หรือ menu file หรือ playlist
ทำหน้าที่บอกตำแหน่ง (path) และรายละเอียดต่างๆของ audio data files เช่น wav, flac & ape etc.
cuesheet ไม่ใช่ audio data files นะครับ...โปรดอย่าเข้าใจผิด!!??
เอาง่ายๆคล้ายกับเมนูอาหาร..ไว้สั่งอาหาร..ไม่ใช่เป็นอาหารสำหรับกิน..!!??..ฮ่าๆ
เวลาฟังเพลงหรือเผาแผ่น CD audio - .cue จะช่วยให้เราทำงานง่ายและสะดวกขึ้นมาก
ปัจจุบัน player/burning software หลายๆตัว รองรับ cuesheet หมดแล้ว..พอจะเข้าใจนะครับ..อิๆ
เอาละครับมาเข้าเรื่องกับ "2 - 3 วิธีง่ายๆ write flac เป็น CD audio"

1. แปลง flac ให้เป็น wav ก่อน แล้วลากไปใส่ Nero หรือโปรมแกรมอื่นๆ ให้มันเผาออกมาเลย (ดูวิธีแปลงจาก Foobar ที่หัวข้อ 3)

หรือดูวิธีที่ลุงโยแนะนำไว้ตรงลิงค์นี้ก็ได้


2. ง่ายสุดคุณภาพปานกลางใช้ ImgBurn v 2.5.0.0 คลิ๊กเดียวที่ cuesheet ก็สามารถเผาออกมาได้เลย

2.1 แต่ถ้าต้องการคุณภาพใกล้เคียงแผ่นแท้ และที่เครื่องมีลง EAC อยู่แล้ว ก็ลง autoflac ตัวนี้เพิ่มเข้าไป

ใส่แผ่น blank cd ที่ไดร์ฟไว้ก่อนเลย....
click ขวาไฟล์ cuesheet ที่ผมให้ไปด้วย - แล้วเลือก "Write with AutoFlac..." ใน context menu



AutoFlac และ EAC จะจัดการส่วนที่เหลือเอง จนถึงขั้นตอนสุดท้ายเผาใส่แผ่น
- เลือก menu "CD-R" ใน CD Layout Editor
- เลือกข้อแรก Write CD... - จะมีหน้าต่างใหม่ CD Write Options, เลือก Write speed ต่ำสุดที่มี เช่น 4.0X ถ้ามี
- กดปุ่ม Make It So ข้างล่าง - แล้วรอจนมันเผาเสร็จ



ศึกษาบทความเพิ่มเติม EAC และ download จากลุงโย และคุณ luechaik ครับ...


3. มีคำถามเข้ามาบ่อยว่า ไฟล์ FLAC ที่เราดูดมาถ้ามันไม่มี .CUE มาให้ จะเปิดฟังด้วย Foobar ยังไง? หากจะใช้ EAC เผาทำได้มั๊ย...มาดูเรื่อง FLAC ไม่มี .CUE กัน...

3.1 เปิด Foobar แล้วลาก tracks flac ต่างๆ (ไม่มี .CUE) ที่ตัองการฟังไปใส่ไว้ในที่ว่าง Foobar กดปุ่ม play ฟังได้เลย... ดูรูป



3.2.หากจะใช้ EAC เผา tracks flac ต่างๆ (ไม่มี .CUE) - ใช้ Foobar ช่วยแปลง flac ให้เป็น wav+cue แล้วลากไปใส่ไว้ใน EAC ตามขั้นตอนรูป

3.2.1 ทำเหมือนข้อ 1 แต่ไม่ต้องกดปุ่ม play - ไฮไลท์ tracks flac ต่างๆทั้งหมด แล้ว click ขวา เลือก Convert เลือก เมนนูจุดไข่ปลา (...) ตามรูป



3.2.2 จะมีหน้าต่างใหม่ Converter Setup ขึ้นมา - Output format เลือก wav; Output path เลือก Source track folder; Output file เลือก Generate muti-track files ดูรูป



3.2.3 เมื่อแปลงเสร็จจะได้ 1 ไฟล์ wav + 1 ไฟล์ .CUE อยู่ใน folder เดิมของ ไฟล์ flac - เรียก EAC ขึ้นมา - ไปที่ menu 'Tools" เลือก Write CD-R...ตามรูป



3.2.4 จะมีหน้าต่างใหม่ชื่อว่า CD Layout Editor ขึ้นมา - เราก็ลากไฟล์ .CUE ที่ได้มาไปใส่ไว้ตรงช่องว่างตรงกลาง ข้างล่าง CD Layout - เสร็จแล้วก็จะมีข้อมูล tracks ต่างๆขึ้นมาตามรูป



3.2.5 ขั้นตอนสุดท้ายเผาใส่แผ่น - (ใส่แผ่นเปล่าเข้าไปที่ไดรฟ์ก่อน) เลือก menu "CD-R" ใน CD Layout Editor - เลือกข้อแรก Write CD...จะมีหน้าต่างใหม่ CD Write Options, เลือก Write speed

ต่ำสุดที่มี เช่น 4.0X ถ้ามี - กดปุ่ม Make It So ข้างล่าง - แล้วรอจนมันเผาเสร็จ



คงละเอียดพอเข้าใจ ลองทำช้าๆว่าได้หรือเปล่า ใหม่ๆอาจกินเวลา แต่หากคล่องแล้ว ก็ใช้เวลาเดี๋ยวเดียว....เชิญสนุกหรือปวดหัวกับมันได้...555

Rip ด้วย EAC มันดีตรงไหน ลองแจ้งให้ดูสิ ?

Rip ซีดีโปรดของคุณด้วยโปรแกรม EAC ( Exact Audio Copy )

ดาวโหลดโปรแกรมได้ที่นี้ Link : ftp://fx1.hrz.uni-dortmund.de/sw_data/su0165/EAC/eac-0.99pb5.exe

ครับ เมื่อดาวโหลดโปรแกรมมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ติดตั้งเลยครับ เมื่อคุณเปิดใช้งานครั้งแรก โปรแกรมจะให้คุณตั้งค่าต่าง ๆ กด เยส โน โอเตตาม ๆ ที่เข้าใจเลยครับ ( ฮา ) แล้วคุณจะได้หน้าตาพร้อมใช้ดังรูปครับ



จากรูปนะครับ เป็นหน้าตาโปรแกรมที่ยังไม่ได้ใส่แผ่น CD ลงไปนะครับ หากใส่แผ่นไปแล้วจะขึ้นรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้ครับ



หากคุณขี้เกียจที่จะพิมพ์รายละเอียดเพลงต่าง ๆ ลองเช็คดูก่อนครับ ซีดีโปรดแผ่นนี้ของเรามีข้อมูลในฐานข้อมูลรึยัง ก่อนอื่นต้องลงทะเบียนก่อนครับ กด F12 เพื่อตั้งค่า ในส่วนของฐานข้อมูลเลยครับ นั้นละครับ ใส่อีเมล์เราลงไปเลยครับ ( ไม่ต้องตกใจนะครับ ทางผู้ผลิตไม่เรียกเก็บเงินค่าใช้โปรแกรมแต่อย่างใดครับ และไม่นำข้อมูลเมล์เราไปกระทำมิดีมิร้ายแน่ ๆ ใส่ไปได้เลยครับ )



เมื่อเรากระทำขั้นตอนข้างต้นเสร็จแล้ว รอสักพักครับว่ามีรายชื่อเพลงขึ้นมาไหม ถ้ายังไม่มีอะไรเกิดขึ้นให้ลองกด Alt + G ครับ เพื่อเรียกค้นหาข้อมูลซีดีจากฐานข้อมูล ( หรือ อาจจะไปที่ Database --- > Get CD Information From --- > Remote Freedb ) ชะแว้บ ... ! นั้นไงครับโผล่ขึ้นมาแล้ว แต่ !!! ถ้ามันขึ้นแบบนี้



ก็ขอให้คุณสนุกกับการพิมพ์รายชื่อเพลง และ รายละเอียดต่าง ๆ ลงไปครับ ^^ ต่อไปเลยนะครับ คราวนี้อยากให้ตั้งวิธี หรือ แบบในการสร้างไฟล์แนมครับ กด F9 ครับ แล้วไปที่ Tab ของ Filename ครับ



ช่องทางซ้ายมือนะครับ แก้ไขได้ตามใจชอบเลยครับ หรือจะตั้งค่าแบบลุงก็ได้ครับ ดูมาตรฐานดี

Quote:

%D %N %T

ของลุงมี CDArtist TrackNumber TrackTitle ตัวอย่างก็จะเป็น Linkin Park 01 Don't Stay ประมาณนี้ครับ หากใครจะชอบแบบอื่นก็ไม่ว่ากันครับ อันนี้แค่ยกตัวอย่างเฉย ๆ

จริง ๆ แค่นี้ก็พร้อมใช้งานแล้วนะครับในการ Rip ออกมาเป็นไฟล์ wav แบบไม่บีบอัดหรือลดทอน แต่เราอยากได้แบบบีบอัดในรูปแบบของ Lossless เพื่อสะดวกในการแบ่งปัน และ ยังคงคุณภาพเสียงไม่ได้อย่างสมบูรณ์ แน่นอนครับ เราต้องตั้งค่าโปรแกรมมันด้วย กด F11 เลยครับ แล้วไปที่ Tab ของ External Compression



ตั้งค่าตามลุงเลยครับ เอาให้เหมือนนะครับ นั้นละครับ เริ่มจากบรรทัดแรกนะครับ ติ๊กถูกก่อนเลยครับ เพื่อยืนยันว่าจะใช้ตัวบีบอัดจากข้างนอกครับ บรรทัดต่อมาเลือกไปที่ User Defined Encoder ครับ ต่อจากนั้นบรรทัดต่อมาให้ใส่นามสกุลที่เราต้องการครับ ในที่นี้เราจะบีบในรูปแบบของ Flac ใส่ลงไปว่า .flac ครับ บรรทัดถัดมาให้เรากดปุ่ม Browse ไปชี้ที่โปรแกรม Flac ครับ ( ตามปกติแล้วโปรแกรมนี้จะมีอยู่ให้พร้อมโปรแกรมครับ ) ตามนี้เลยครับหลาน C:\Program Files\Exact Audio Copy\Flac\flac.exe ( หากติดตั้งที่ไดร์ฟ C ตามปกตินะครับ ) เสร็จแล้วครับ บรรทัดต่อมา จะเป็นชุดคำสั่งของการสร้างไฟล์ครับ ไม่ต้องคิดมากครับ คัดลอกตามลุงไปแปะเลยครับ

Quote:

-T "artist=%a" -T "title=%t" -T "album=%g" -T "date=%y" -T "tracknumber=%n" -T "genre=%m" -5 %s

ฺBitrate ก็กดให้เต็มเหนี่ยวไปเลยครับ 1024kBit/s แน่นอนครัขนาดนี้แล้ว ติ๊กอย่างไม่ต้องลังเลครับ High Quality ทางซ้ายมือตัวเลือกแรก หมายถึง คุณจะลบไฟล์ wav ต้นฉบับทิ้งไหม หลังจากแปลงเสร็จแล้ว ถ้าต้องการลบก็ติ๊กถูกครับ สองอันที่เหลือก็ เช็คความถูกต้องกับเพิ่ม Tag ลงไปในเพลงนั้น ๆ ที่บีบอัดแล้วครับ เมื่อตั้งค่าเรียบร้อยแล้ว กดตกลงเลยครับ ( ไหนฟ่ะ ตกลง มันปุ่ม OK ชัด ๆ ฮา...~ ) ต้องให้เหมือนจากรูปเลยนะครับหลาน หากไม่เหมือน กลับไปทำให้ัมันคล้าย ๆครับ เอาละครับโปรแกรมพร้อมใช้งานแล้วครับ พร้อมจะ Rip แล้วรึยังครับ หากพร้อมแล้วไปที่ Tag ของ Action ด้านบนเลยครับ



ชี้แจ้งกันก่อนนะครับ โปรแกรมนี้จะมีให้เลือก 2 แบบครับ คือ Uncompressedไฟล์ที่ได้จะเป้นนามสกุล .wav ครับ ส่วนเลือกแบบ Commressed ไฟล์ที่ได้จะนามสกุล .flac ตามที่เราตั้งค่าไว้เมื่อสักครู่ครับ


  • Copy Selected Track < ----- Rip แบบแยกเพลง หรือ เลือกเพลงที่ต้องการจะ Rip ได้
  • Copy Image & Create CUE Sheet < ----- Rip แบบไฟล์ใหญ่ไฟล์เดียว พร้อมสร้างคัทชีท เพื่อเป็นข้อมูลของแต่ละเพลง

    ที่หลัก ๆ ลุงก็ใช้สองคำสั่งนี้นะครับ หากอยาก Rip ออกมาเป็นเพลง ๆ ไปเลือกตัวเลือกแรกนะครับ หากต้องการ Rip ออกมาเป็นไฟล์ใหญ่ไฟล์เดียวเลย พร้อมสร้าง Cue Sheet ไว้เป็นฐานข้อมูลของแผ่นนั้น ๆ สำหรับเลือกเพลง และ รายละเอียดต่าง ๆ เลือกที่ตัวเลือกที่สองครับ

  • ตัวอย่างไฟล์ที่จะได้ในการเลือกแบบที่ 1 ( แยกเพลง )



  • ตัวอย่างไฟล์ที่จะได้ในการเลือกแบบที่ 2 ( ไฟล์ใหญ่ไฟล์เดียวพร้อมคัทชีท )



    อ้าว .... ? ลุง ถ้าผมเลือกคำสั่งแรกแบบแยกเพลง แต่ผมต้องการ Cue Sheet ด้วยละ อยากเทพกับเค้าบ้าง
    อ้อ ... ครับคุณหลาน ของแบบนี้มันสร้างกันได้ครับ

    จำเป็นจะต้องมีแผ่นซีดีที่ใช้ Rip งานนั้น ๆ ที่จะสร้าง Cue Sheet นะครับ จากนั้น กด Alt + M ครับ รอสักพักโปรแกรมจะคำนวณค่าต่าง ๆ ที่ต้องใช้ แล้วจะถามถึงที่บันทึก พร้อมให้เราตั้งชื่อไฟล์ครับ จากนั้นเมื่อเรียบร้อยแล้วกดตกลงครับ ( แนะ แปลกคน ผมบอกว่ามันมีแต่ปุ่ม Save แล้วปุ่มตกลงมันมาจากไหน ) ใช้วิธีนี้ในกรณีที่เรา Rip ออกมาเป็นแบบแยกเพลงนะครับ ( ตัวเลือกที่ 1 ) เมื่อเราได้ไฟล์ Cue มาแล้ว ยังใช้งานไม่ได้นะครับ เพราะโปรแกรมมันสร้างไว้ให้ใช้คู่กับไฟล์ .wav

    ( วุ่นวายจังวุ่ย )

    ให้เราไปที่ไฟล์ .cue ที่เราบันทึกไว้ครับ จากนั้นให้เปิดไฟล์นี้ด้วย Notepad ครับ ( คลิ๊กขวาที่ไฟล์ แล้วเลือก Open With จากนั้นเลือกโปรแกรม Notepad ครับ ) สังเกตุดี ๆ จะเห็นชื่อเพลง หรือ ชื่อไฟล์เราเป็นนามสกุล .wav ทั้งนั้นเลยใช่ไหมครับ แก้ซะครับ แก้ให้เป็น .flac ทั้งหมดแล้ว Save ทับเลยครับ ดังรูป



    จากนั้น โปรแกรมที่จะเล่นไฟล์ตระกูล Audio ได้ดีที่สุด และรองรับ Cue Sheet และเสียงดีที่สุด นั้นก็คือ Foobar2000 ครับ ( ดาวโหลดได้ที่นี้ครับ ) จากนั้นเราลองทดสอบลากไฟล์ Cue Sheet ลงไปที่โปรแกรม ( .cue ) หากโปรแกรมแสดงรายชื่อต่างๆ พร้อมทั้งเล่นเพลงขึ้นต้น และ จบเพลงถูกต้อง แสดงว่าคุณทำถูกแล้ว



    ( อ่า ... แล้วถ้ามันเล่นเพลงไม่ถูกต้องละ ) ก็ แสดงว่าหลานทำผิดครับ ( )

  • ทิ้งท้ายก่อนจากไปครับ

    mjj wrote:

    ขอเสริมการทำงานของ EAC หน่อยครับ
    ที่เค้าว่าดี ดีอย่างไร?

    ลองดูการทำงานขั้นพื้นฐานของ EAC นะครับ

    EAC จะทำการอ่าน sector ละ 2 ครั้งเพื่อเปรียบเทียบกัน (1 sector = 2352 bytes)
    ถ้าได้ค่าออกมาไม่่เหมือนกัน EAC จะอ่าน sector นี้อีก 16 ครั้ง
    ต้องได้ค่าเหมือนกันอย่างน้อย 8 ครั้ง จึงจะผ่าน

    ถ้ายังไม่ผ่านอีก ก็จะอ่านอีก 16 ครั้ง

    จะทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะผ่าน

    แต่ EAC จะ limit การอ่าน 16 ครั้ง ไว้ 5 รอบ

    ถ้ายังไม่ผ่านอีกก็จะแจ้งว่า sector ใดที่มีปัญหา

    เพราะฉะนั้น ในแผ่นที่แย่จริงๆ บาง sector ก็จะต้องมีการอ่านถึง 82 ครั้ง (2 + 16x5)

    เห็นแล้วใช่ไม๊ครับว่าน่าเชื่อถือในความถูกต้องเพียงใด
  • CD แผ่นไหนปลอม แผ่นไหนแท้ ตรวจสอบได้ด้วย Tau Analyzer

    Tau Analyzer เป็นโปรแกรมสำหรับการวิเคราะห์เพื่อตัดสินว่าแผ่นซีดีเพลงแผ่นนั้น
    ถูกผลิตมาจากแหล่งต้นฉบับแท้ หรือว่ามีการดัดแปลงโดยใช้การบีบอัดไฟล์เสียง

    คุณไม่รู้ว่าซีดีแผ่นไหนปลอมแผ่นไหนจริง
    ถ้าไม่ตรวจสอบด้วยโปรแกรมนี้




    สำหรับเราๆท่านๆที่ ที่ดาวโหลดฟรีมาจากอินเตอร์เนต
    มีประโยชน์สำหรับ การสร้างแผ่น Audio Cd ให้ได้ใกล้เคียงกับต้นฉบับ มากที่ สุด

    file flac (ที่บีบอัดถูกต้อง เท่านั้นนะ) จะสามารถคลาย (decode) กลับมาเป็นไฟล์ wave
    แล้าwrite หรือ burn เป็น audio Cd ได้ใกล้เคียงต้นฉบับ 99.00 %

    ***ใช้โปรแกรม Trader Little Helper เพื่อตรวจสอบว่าบีบอัดมาถูกต้องไม๊*****
    (ลองหาอ่านดูหน้าแรกๆของชมรมนี้ ของเวปนี้)

    โดยมีรายละเอียดของแผ่นซีดีครบถ้วน

    แผ่นซีดีเพลงทุกแผ่น จะต้องมีรายละเอียดของตัวเอง เปรียบเสมือนบัตรประชาชนของแต่ละคน
    [ เรียกว่า ID tag - Identification Tag]

    คือมีรายละเอียดดังนี้

    - ชื่ออัลบั้ม ชื่อนักร้อง ปีที่ผลิต บริษัทที่ผลิต
    - แทรกลำดับที่ของเพลง รายชือเพลง เวลาแต่ละเพลง
    - ช่องว่างระหว่างแต่ละเพลง gap
    - และอื่นๆอีกหลายอย่าง

    โดยสามารถตรจสอบได้จากโปรแกรมเล่นเพลงของคุณ

    จากโปรแกรม EAC ---> toobar--->action ----> detect gap
    โปรแกรม Foobar --->Tagging ---->Get tags from freedb
    โปรแกรม winamp----->คลิกขวา view file info ------>AutoTag

    โปรแกรมเล่นเพลงเหล่านี้จะทำการตวจสอบ ไปที่ freedb [free database]

    ฐานเก็บข้อมูลเพลงทุกอัลบั้ม และรายงานผลให้เราทราบ

    วิธีใช้โปรแกรม

    - ใส่แผ่นซีดีเพลงเข้าไปในdrive CD DVD
    - บนtoolbar เลือก Tracks
    - click เครื่องหมาย + ด้านซ้ายมือ จะขึ้นว่าread new CD
    - click เครื่องหมาย ---> ด้านซ้ายมือ จะขึ้นว่า analyze CD
    - โปรแกรมจะทำการตรวจสอบแผ่น ทีละแทรก
    - ดุผลที่ช่องขวามือสุด status ถ้าขึ้นว่า CDDA แสดงว่าแผ่นwrite ถูกต้องเหมือนต้นฉบับ คือ เป็น audio CD

    ถ้าไม่ใช่ audio cd ที่ถูกต้อง จะแสดงขึ้นเป็นอย่างอื่น เช่น mpg หรือ mpeg


    -----------------------------------------------------------------
    บนtoolbar เลือก CDInfo -จะบอกรายละเอียดข้อมูลของแผ่นซีดี
    บนtoolbar เลือก Spectrum - จะบอกคลื่นความถี่รวมของแผ่น


    websites ของโปรแกรม http://true-audio.com/Analyzer.project

    ดาวโหลดโปรแกรมฟรี ได้ที่ http://sourceforge.net/projects/tta/files/tta/tau-analyzer/tau-analyzer-setup.exe/download


    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ****การเขียนแผ่นBurn ให้เหมือนต้นฉบับมากที่สุด
    ต้องใช้ โปรแกรม EAC - Exact Audio Copyเท่านั้น*****


    http://www.exactaudiocopy.de/

    โอกาสหน้า หรือ โอกาสหลัง ฤกษ์งามยามดี จะเขียนเรื่องการ set ค่า โปรแแกรมและการ Burn ด้วย EAC

    จงมีความสุขกับเสียงดนตรี Happy Weekend

    AudioDVDCreator

    คุณจะทำยังไง ถ้าคุณมีอัลบั้มหลายๆอัลบั้ม นักร้องหรือวงดนตรีคนเดียวกัน
    แล้วอยากรวมเป็นอัลบั้มเดียวกัน เพราะขี้เกียจเปิด Play บ่อยๆ
    MP3 ก็ไม่ชอบ เพราะเสียงกระป๋องไป อยากได้เสียงคุณภาพ Audio CDเหมือนเดิม

    นี่คือโปรแกรมที่ดีที่สุดขณะนี้ ที่จะช่วยคุณได้

    AudioDVDCreator


    มันสามารถทำให้คุณรวมอัลบั้มทั้ง 4 ชุด หรือมากกว่านั้นถึง 10 อัลบั้ม ให้อยู่ในแผ่นเดียวกัน
    โดยไม่สูญเสียคุณภาพ โดยการทำเป็น DVD video ทีมีภาพพร้อมเสียงจากเพลงของคุณ


    วิธีการ
    1 - แปลงไฟล์ Flac ที่ดาวโหลดมา ให้เป็น File "Wave "เสียก่อน
    โดยใช้โปรแกรม FLAC frontend [แนะนำให้ใช้โปรแกรมนี้]

    หรือ
    dBpowerAMP Music Converter



    (อยู่ใน Folder ชื่อมันเอง ที่ส่งมาพร้อมกันนี้ )
    อย่าลืมแยกสร้าง Folder แต่ละ Album ด้วย
    เพื่อสะดวกต่อการAdd ในโปรแกรม AudioDVDCreator

    2 - เปิดโปรแกรม AudioDVDCreator ----NewProject -----Audio DVD---
    Project Name (พิมพ์ตั้งชื่อชุดที่จะทำนี้ตามใจชอบ เช่นWindham Hill Record)----
    ที่ Audio Format ติ๊กเลือก AC3 (High Quantity) -----เลือก 2.0 channel หรือ 5.1 channel -------
    ติ๊กเลือก kbps สูงสุดเท่าที่โปรแกรมให้มา

    ****[ที่ Audio Format - ถ้าเลือก PCM high quality จะให้คุณภาพเสียงที่สูงกว่า Audio CD
    แต่คุณต้องแปลงไฟล์เป็น wave ให้ได้ความถี่ หรือขนาด 48 kHz - 24 bit ]****

    3- ที่ TV mode เลือกระบบทีวีของคุณ Pal หรือ NTSC ----click---next

    4- click ----- Add music Files ----------เลือกไฟล์จาก Folderที่คุณแปลงเป็น wave
    มาทีละ Folder จนเต็ม เท่าขนาด DVD ของคุณ จะ 5 หรือ 9 ก้ได้

    5- click -----Preview เพื่อดูว่าที่ทำมาเป็นไงบ้าง

    6 - click ----next -----GO โปรแกรมจะดำเนินการสร้าง DVD video แต่เป็นเพลงในอัลบั้มส่วนตัวของคุณ

    7 - Burn หรือ write




    Download Programs Audio DVD Creator
    ได้ที่ http://www.ziddu.com/download/5737744/AudioDVDCreator19.rar.html

    Download Program Flac Frontend
    ที่http://members.home.nl/w.speek/flac.htm

    Download Programs DBpoweramp
    ที่ - http://www.ziddu.com/download/5737464/dBpowerAMPMusicConverterR13.2ReferenceEdition.rar.html

    ความรู้รอบเอว เกี่ยวกับเสียง

    Audio CD ให้คุณภาพเสียงที่ Sample Rate : 44100 kHz - 16 bit - 2 Channels Bitrate : 1017 kbps

    DVD video ให้คุณภาพเสียงที่ Sample Rate : 48000 kHz - 24 bit - 2 Channels หรือ 5.1 Channels

    Bitrate 1248 kbps หรือมากกว่า


    ถ้าอ่านไม่รู้เรื่อง งง ไปอ่านรายละเอียดภาษาปะกิตจากเจ้าของเวป ที่
    http://www.audio-dvd-creator.com/guide.htm

    ความรู้รอบเอวเกี่ยวกับ ไฟล์ Flac

    มีโปรแกรมที่มีประโยชน์มาก ที่ควรใช้และควรรู้ เกี่ยวกับ file flac และ lossless ต่างๆ
    เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ไฟล์ที่ดาวน์โหลดมานั้น บีบอัดมาอย่างถูกต้องหรือไม่ ?

    ไฟล์เพลงจากแผ่น audio cd ทุกแผ่น จะมีรายละเอียดทั้งหมดของอัลบั้มนั้น
    เรียกภาษาปะกิตว่า IDtag บางคนอาจจะเคยเห็นบ้างใน winamp - foobar
    IDtag จะมีรายละเอียด ชื่ออัลบั้ม ชื่อนักร้อง ปีที่ผลิต
    ลำดับที่เพลง [track] ชื่อเพลง เวลาของแต่ละเพลง
    [เพลงไทยก็มีนะ เคยเห็นของพี่อัสนี-วสันต์ บางแผ่น และน้อง ทาทายัง ]

    ถ้าบีบอัดมาอย่างถูกต้อง จะมีรายละเอียดเหล่านี้พร้อม
    เช่น ตาม อัลบั้ม - Thailand Philharmonic Orchestra - ๑๐๐ ปี ไกลบ้าน ตามเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง [ Flac ]
    มีการบีบอัดที่ถูกต้อง ไม่มีอะไรผิดพลาด



    โปรแกรมนี้ชื่อ T R A D E R ' S L I T T L E H E L P E R

    DL ฟรี ได้ที่ http://tlh.easytree.org/

    นอกจากนี้ยังใช้ แปลงไฟล์ต่างๆ ได้หลากหลาย ทั้ง decode encode convert

    สร้าง *torrent ก็ยังได้

    ทีมีประโยชน์ที่สุดคือ การตรวจสอบไฟล์ ว่าrip บีบอัดมาจาก audio CD จริงหรือไม่

    เพราะบางท่าน [ตัว] อาจจะเอา MP3 เสียงกระป๋อง มาแปลงเป็น Flac เป็น wave ก็ได้

    ลองใช้ดู

    วิธีเช็คง่ายๆ

    เปิดโปรแกรม ---- analyzis -----test encode audio file -----add[file flac ที่ดูดมา]

    ------------click TEST -------------ถ้าขึ้น no error occer แสดงว่าเป็นaudio แท้ๆ


    ถ้าขึ้นสีแดงเต็มพรืด แสดงว่าของปลอม ลองอ่านดู มีหลายสาเหตุ


    เหนื่อยพิมพ์แล้ว ครับพี่น่้องง

    สงสัยไต่ถามกันมาได้เลย

    จงมีความสุขกับการฟังดนตรี

    27 ตุลาคม 2553

    อาการเสียของเมนบอร์ด

    เปิดไม่ติดมีหลายสาเหตุ เปิดไม่ติด เกิดจาก ไม่มีไฟ 5v (สายซัพพลายสีม่วง) ไม่มีไฟ 5v PowerON (สายซัพพลายสีเขียว) ลองตรวจสอบง่ายๆ ดังนี้

    1. ลองเปลี่ยนเพาเวอร์ซัพพลายใหม่ ดูว่าไฟมาหรือเปล่า ถ้ามาก็ใช้ได้ ถ้าไม่มาแสดงว่าต้องมีอุปกรณ์ใดๆ ในบอร์ด Shot
    แต่ถ้า ไม่มีไฟ 5v(สายซัพพลายสีม่วง) มาปกติ แต่ไม่มีไฟ 5v PowerON(สายซัพพลายสีเขียว) มาแสดงว่า
    ต้องลองเช็คเฟต ที่ เป็น ไฟ CPU บริเวณ ข้าง Socket CPU ดูน่าจะมี ตัว Shot อยู่ บางตัว

    2. แต่ถ้า ไม่มี ไฟไรช๊อตเลย ลองเปลี่ยน Crystal 32.768 KHz ดูก่อนเลย อาจจะเปิดติด ได้
    ถ้ามี Scope ก็ลองวัดสัญญาณ ดูว่า มีสัญญาณ Clock มา ครบ 32.768 KHz หรือเปล่าแล้วอีกอย่าง
    ที่เป็นเทคนิคพิเศษ ลองเช็ค I/O ว่า ร้อนเกินปกติ มือ จับได้หรือเปล่า ถ้าร้อนเปลี่ยนได้เลย ถ้าไม่ร้อน
    ต้องเช็ค ตาม Manual ดูว่า I/O ปกติหรือเปล่า ลองเช็คที่ขา I/O ตรง 5v ดูถ้า Shot ก็เปลี่ยนได้เลย
    ถ้าลองเปลี่ยนทุกอย่าแล้ว ไม่หาย ลองจับ South Brige ดูว่าร้อนหรือเปล่า ถ้าร้อน
    ก็ต้องเปลี่ยน South Brige แต่ถ้าไม่ร้อน ลองเช็ค ที่ Panal PowerOn ตรงที่เราทริกเปิด
    เครื่อง นั่นแหละว่ามีไฟ 5v หรือบางรุ่นบอร์ด จะมี 3.3v ถ้าไฟมา ไม่ถึง หรือมาแค่ 1v กว่าๆ
    ลองเช็ค ไฟ Regulator จาก 5v เป็น 3.3v ถ้าเปลี่ยน Regulartor แล้วไม่หาย แสดงว่า South Brige
    เสียแน่นอน หรือไม่ก็เปลี่ยน Regulator จาก 5v เป็น 3.3v แล้ว South Brige
    ร้อนขึ้นมาเลย ก็แสดงว่า South Brige เสียได้เหมือนกัน

    3. อาการดีบัคขึ้น 00 หรือ FF คืออาการไม่บู๊ต บางรุ่นขึ้น D0 อาการดีบักขึ้น 00 หรือ FF
    แล้วไม่วิ่งไปใหนเลย มีได้หลายสาเหตุ ได้แก่ คือไบออสเสีย หรือไฟล์ในไบอสเสียหาย ก็สามารถ
    แฟลชไบออส ได้จากเครื่องแฟต หรือไม่ก็งัดไบออส จาก บอร์ดรุ่นเดียวกัน มาลองเปลี่ยนดู ถ้าติดปกติ
    ก็ ต้องแฟลชไบออสใหม่ การแฟตไบออสมีหลายวิธี แล้วก็มีสอนหลายเว็บไซต์ หรือร้านบางแห่งใช้เครื่องแฟต
    คือ ถอดไบออสมาแฟต กับเครื่องแล้ว ใส่กลับเข้าไปใหม่ได้เลย ไม่ต้องกลัวว่าจะแฟตผิด แฟตซ้ำได้ตลอด

    4. I/O เสีย เป็นสาเหตุหนึ่ง ในการ ทำให้ ดีบึคขึ้น 00 หรือ FF ส่วนมาก I/O มีหลาย รุ่น
    แต่ส่วนมากมี 2 ยี่ห้อคือ WinBond กับ ITE ส่วนมาก I/O เสีย หาได้ง่ายๆเพราะ จะร้อนมาก่อนเลย
    แต่ถ้าไม่บูต ต้องเช็คที่ขา ดาต้า ว่าดาต้าเข้า แล้วดาต้าไม่ออก แต่ Clock ไฟต่างๆ 5v 3.3v 12v
    เข้าปกติ ก็แสดงว่า I/O เสียได้เหมือนกัน แต่ที่ร้าน B.B.Com มีการ์ด Test ว่า I/O เสียหรือเปล่า ได้เลย

    โดยไม่ต้องวัดให้เสียเวลา โดยการเสียบการ์ด แทน I/O โดยมีไบออส อยู่ในการ์ดเรียบร้อย
    ถ้าทุกอย่างปกติ แต่ต้องใส่ไบออส ที่ตรงรุ่นกับ บอร์ดนั้นๆ ไว้ในการ์ด I/O จะสามาถบู๊ตเข้าวินโดวส์ได้เลย
    โดยการตัดการทำงานของไบออสในบอร์ดออก แล้วไปทำงานที่ ไบออสในการ์ด แทน แต่ถ้าเปลี่ยน I/O
    ที่ บอร์ด ก็จะทำงานได้ปกติ

    5. อาการบอร์ดดีบักขึ้น D0 ส่วนมาก สาเหตุเป็นเพราะ ระบบ Data หรือ Address ของ North Bridge
    กับ Socket CPU ขาดหรือไม่ต่อกัน อาการแก้ง่ายๆ โดยการ เปลี่ยน Socket CPU ใหม่ หรือลองขยับ
    ดูว่า ล๊อก CPU กับไม่ล๊อก CPU จะทำให้บอร์ดติดหรือเปล่า ถ้า ไม่ล๊อกแล้วติด ก็แสดงว่า Socket CPU
    เสียหรือเปล่าหรือ ถ้ากด North Bridge แล้วทำงานได้ ก็แสดว่า North Bridge หลวม
    ต้องเปลี่ยนหรือ ไม่ก็ Re Built North Bridge ใหม่ เผื่อ บอล ตะกั่วใน North Bridge ไม่เชื่อประสานกัน
    บางจังหวะ หรือไม่ก็ สัญญาณไฟ CPU ไม่เรียบพอ ก็ต้องลองเปลี่ยน Regulartor
    โดยต้องมีมิเตอร์วัด Ripple ว่า ได้มาตรฐานหรือเปล่า ก่อนจะเปลี่ยน Regulartor CPU

    6. อาการระบบ Ram เสีย ง่ายๆมีหลายสาเหตุ เช่น ดีบัคขึ้น C0-C5 D3-D7 E0-ED
    หรือไม่ก็ 90 แล้วดับ เปิดอีกที ติดแต่ค้างที่ AD แยกไว้ตามประเภทกว้างๆ ไว้ดังนี้

    อาการ C0-C5 ส่วนมากเป็นได้ที่ Clock ของระบบแรมไม่มา หรือมาน้อย ไม่สามารถทำงานได้
    ถ้า เป็น DDR ต้องดูที่ขา 7-8 นับมาจาก ด้านบน ทางด้านร่องกว้าง จะมี Clock ตั้งแต่ 100-133-166-200
    แต่แรมมันเอามาคูณ 2 อีกที หรือไม่ก็ Capacitor บวม บริเวณแรม ทำให้ Clock มา แต่ไม่เรียบ
    หรือเป็นลูกไม่สวย ทำให้แรมรับไม่ได้ ถ้ามี Scope ก็สามารถดูลูก คลื่นได้ โดยตรง ถ้าไม่มีก็
    ต้อง เปลี่ยน Clock Buffer ดู ก็จะหาย

    อาการ D3-D7 ส่วนมาก มาจาก ไฟ เลี้ยงแรม มาไม่พอ หรือมาน้อย หรือมี Ripple มามากเกินไป
    ต้อง ดูหรือวัดที่ Regulartor ที่เป็นแฟต ส่วนมากจะมี เบอร์ 9916H B1202 3055LD 45N02 A2039
    และอีกหลายเบอร์ แต่ถ้ามีรอยใหม้เปลี่ยนได้เลย เสียแน่ๆ แต่ถ้าไม่มีรอยใหม้ ต้องเช็ค ว่า Shot หรือเปล่า
    หรือ ลองวัดดู ต้องมีไฟ เข้า 3.3v แล้วไฟทริกต้องมีประมาณ 3.5-4.5v ถ้าไม่มีไฟทริกต้องมองหา ออฟแอม
    ว่ามีรอยใหม้หรือเปล่าถ้าทุกอย่างมาครบ แต่ไฟไม่ออก 2.5-2.8V ก็เปลี่ยน แฟตแรมได้เลย

    อาการ E0-ED ลองขัด Slot แรมดู โดยใช้ น้ำยาพิเศษ แห้งเร็ว ทำให้ Slot Ram สะอาด ทำให้บู๊ตได้ปกติ
    ถ้า ไม่ได้จริง ๆต้องเปลี่ยน North Bridge เพราะ สายData หรือ Address ของ Ram ต่ออยู่กับ North Bridg
    หรือไม่ก็ Re Built North Bridge เผื่อบอลตะกั่วไม่ต่อกันจริงๆ ระหว่างบอร์ดกับ North Bridge

    อาการดีบัก ค้างที่ 2A ส่วนมากจะเป็นอาการของบอร์ด ไม่แสดงผลภาพ หรือ การ์ดจอไม่ทำงาน ให้ลองหา
    ทรานซิสเตอร์ เล็กๆ ข้าง Slot AGP/PCI-E จะมีอยู่ 2 ตัวไว้ Detect ว่ามี VGA เสียบอยู่หรือเปล่า ถ้าตัวนี้เสียหรือ
    ปริ้นร่อนก็ไม่สามารถมองเห็น การ์ดจอ VGA ที่เสียบอยู่กับบอร์ดได้ หรือไม่ก็ Slot AGP/PCI-E บนบอร์ดเสีย
    หรือเข็ม ใน Slot AGP/PCI-E หักหรืองอ ก็ต้องเปลี่ยน Slot AGP/PCI-E ก็จะหายเป็นปกติ

    การแจ้งข้อผิดพลาดของความ หมาย Code ต่างๆ ท่านสามารถดูได้ที่ www.bioscentral.com
    ตัวอย่าง Code ที่แสดงออกมาและความหมายของ Code อาการที่เห็นทั่วๆไปของ บอร์ดที่ซ่อมประจำ

    CODE

    ความหมาย

    C0-C7

    ลองแฟลชไบออสดู ไม่ก็ แล้วลองตรวจสอบระบบอีกครั้ง บางครั้งแรมอาจติดต่อกับ N/B ไม่ได้

    D0

    ลองตรวจสอบไฟ CPU ว่าปกติหรือเปล่า หรือไม่ก็ซ็อกเก็ต CPU ว่าต่อกับ CPU จริงหรือเปล่า

    D1-D7

    ลองตรวจเช็คแรม ไม่ก็ ไฟแรม สล็อตเสียบแรมแน่นหรือไม่

    90-AD

    สลับกัน แล้ว 90 จะดับ แต่จะค้างที่ AD แสดงว่า Data ของแรมไม่สามารถติดต่อกับ N/B ได้ แนะลองใช้แปรงทาสีทำขาความสะอาด
    ทีช่องสัญญาณของสล็อกตแรมดู ถ้ายังไม่หายก็แสดงว่า Address บางขาของ Ram เกิดการซ็อต ต้องเปลี่ยน N/B

    2A

    ส่วนมากเป็นที่สล็อต AGP/PCI-E เสียไม่ก็ หรือตัวทรานซิสเตอร์ข้างๆ AGP/PCI-E เสีย แนะนำเปลี่ยนทรานซิสเตอร์ก็น่าจะหาย

    75-85

    เข้าไบออสไปแล้วตั้งค่าเป็น Set Default ที่มาจากโรงงาน

    00 หรือ FF

    ถ้าปรากฏเลขฐานสิบหกตัวนี้ถือว่าเมน บอร์ดปกติ

    การ เข้าหัวแลน สาย UTP คืออะไร เข้าหัว RJ45 ต้องเรียงสีอย่างไร

    เดี๋ยวนี้ คอมพิวเตอร์เป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น ใครมีลูกหลานก็คงจะเห็นชัดว่าเขาเหล่านั้นมักจะมีความสนใจในการแก้ไขปัญหา ที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ทั้งที่การเริ่มต้นอาจจะมาจากการเล่นเกมส์ก็ตาม เมื่อเขามีความสนใจก็คงต้องส่งเสริมกันล่ะครับ

    ต่อมาวิวัฒนาการมากขึ้น การเชื่อมต่อกับโลกภายนอกก็ตามมาถึงในบ้าน ครั้นจะซื้อทุกอย่าง พ่อแม่ก็คงเห็นว่าไม่ค่อยจะมีพัฒนาการในการแก้ไขปัญหา ก็เลยมาถามว่าทำไงให้เด็ก ๆ เหล่านั้นมีความสนใจเรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นมาบ้าง คำตอบจากพ่อแม่เด็กครับ "ไม่รู้เหมือนกัน" ...วันนี้ก็เลยเอาเรื่องสายเน็ตเวิร์ก หรืออาจจะได้ยินคนเรียกว่าสาย UTP (Unshielded Twisted Pair) มาเล่าสู่กันฟังครับ

    ปัจจุบัน สายเน็ตเวอร์กที่นิยมใช้เดินในอาคาร ก็คือสาย UTP หรืออาจจะเรียกว่า 10BaseT หรืออาจได้ยินว่าสาย CAT5 ซึ่งสาย CAT5 จะสามารถรองรับการสื่อสารข้อมูลได้ถึง 100 เมกกะบิตต่อวินาที (100 megabit per second)

    สาย CAT5 จะเป็นสายที่มีตีเกลียวกัน 4 คู่ (รวมแล้วมีทั้งหมด 8 เส้น) เราถึงได้เรียกว่า Unshielded Twisted Pair (UTP)

    รหัสสีของสาย CAT5 ทั้ง 4 คู่ จะใช้ตามค่ามาตรฐานของ Electronic Industry Association/Telecommunications Industry Association's Standard 568B ดังตาราง

    สายคู่ที่ 1
    ขาว/น้ำเงิน
    น้ำเงิน

    สายคู่ที่ 2

    บาว/ส้ม
    ส้ม
    สายคู่ที่ 3

    ขาว/เขียว
    เขียว

    สายคู่ที่ 4
    ขาว/น้ำตาล
    น้ำตาล

    หัวต่อ (Connectors)

    หัวต่อสาย CAT5 UTP เราจะเรียกกันติดปากว่า หัว RJ45 (RJ ย่อมาจาก Registered Jack)

    ในมาตรฐานของ IEEE กำหนดให้ Ethernet 10BaseT ต้องมีสายตีเกลียวเป็นคู่ ๆ และคู่ที่หนึ่งจะเชื่อมต่อเข้ากับขา 1 และ 2 , และ คู่ที่สองจะต่อเข้ากับขา 3 และ 6 ส่วนขา 4 และ 5 จะข้ามไม่ใช้งาน

    การ เชื่อมต่อสายตามมาตรฐาน EIA/TIA-568B RJ-45 :

    ในการใช้งานจะใช้แค่ 2 คู่ในการรับส่งข้อมูลตามมาตรฐาน 10BaseT โดยใช้คู่ที่ 2 (ขาว/สัม , ส้ม) และคู่ที่ 3 (ขาว/เขียว , เขียว)

    คู่ที่ 2ต่อเข้ากับขา 1 และ2ดังนี้:
    ขา 1 ใช้สี ขาว/ส้ม
    ขา2 ใช้สี ส้ม
    คู่ที่3ต่อเข้ากับขา3 และ6ดังนี้:
    ขา3 ใช้สี ขาว/ส้ม
    ขา6 ใช้สี ส้ม

    ส่วน สองคู่ที่เหลือให้ต่อดังนี้ครับ

    คู่ที่ 1
    ขา4 ใช้สี น้ำเงิน
    ขา5 ใช้สี ขาว/น้ำเงิน
    คู่ที่ 4
    ขา7 ใช้สี ขาว/น้ำตาล
    ขา8 ใช้สี น้ำตาล

    การ เรียงสีให้ดูตามรูปก็ได้ครับ

    เมื่อ จัดสีให้ตรงตามแบบแล้วก็ทำการตัดให้ปลายเท่ากันแล้วใส่สายเข้าไปในหัว RJ45

    โดย ให้ปลายของสายแต่ละเส้นไปชนกับด้านบนสุดของหัว RJ45 เมื่อชนสุดแล้วใช้คีมสำหรับเข้าหัว RJ45 บีบให้แน่น จากนั้นให้ทำเหมือนกันทั้งสองด้าน


    สายไข้ว (Crossover Cables)

    ในการ เข้าสายแบบพิเศษ หรือที่เรียกกันว่า สายไขว้ (Crossover Cable) จะมีการเปลี่ยนตำแหน่งของปลายสายด้านหนึ่งของสายเคเบิล ซึ่งจะสลับกันจาก ขา 1&2 ไปเป็นขา 3&6 และจากขา 3&6 ไปเป็นขา 1&2 ส่วนขา 4&5 และ 7&8 ไม่เปลี่ยนแปลง

    เพื่อให้เข้าใจจะมีการต่อสายทั้งสองด้านดังนี้ครับ:
    ปลายด้านปกติ (Standard)ปลายด้านไขว้ (Crossover)
    ขา 1 ขาว/ส้ม ขา 1 ขาว/เขียว
    ขา 2 ส้มขา 2 เขียว
    ขา 3 ขาว/เขียวขา 3 ขาว/ส้ม
    ขา 4 น้ำเงิน ขา 4 น้ำเงิน
    ขา 5 ขาว/น้ำเงิน ขา 5 ขาว/น้ำเงิน
    ขา 6 เขียวขา 6 ส้ม
    ขา 7 ขาว/น้ำตาลขา 7 ขาว/น้ำตาล
    ขา 8 น้ำตาล ขา 8 น้ำตาล

    ข้อมูลในตารางจะใช้สำหรับปลายด้านที่เป็นสาย ไขว้ (Crossover End)
    คู่ที่ 2ต่อเข้ากับขา 1 และ2ดังนี้:
    ขา1 ใช้สี ขาว/เขียว
    ขา2 ใช้สี เขียว
    คู่ที่ 2ต่อเข้ากับขา3 และ6ดังนี้:
    ขา3 ใช้สี ขาว/ส้ม
    ขา6 ใช้สี ส้ม

    ภาพที่แสดงจะเป็นการเรียงสีของสายที่จะทำเป็นปลาย สายไขว้

    เมื่อ สอดปลายของสายแต่ละเส้นไปชนกับด้านบนสุดของหัว RJ45 จากนั้นก็ใช้คีมสำหรับเข้าหัว RJ45 บีบให้แน่น

    ข้อมูล อ้างอิง : http://www.netspec.com/helpdesk/wiredoc.html

    http://bigtui.exteen.com/category/Network-Tips-and-Trick

    Blue Screen of Death !!

    Blue Screen of Death !! คำว่า Blue Screen คนเล่นคอม จะรู้จักดีและเป็นสิ่งที่ทุกคนกลัวไม่อยากให้เกิดกับเครื่องของตน เพราะถ้าเกิดนั้นเป็นสัญญาณบอกเหตุว่าคอมของตนเริ่มมีปัญหา แต่ที่น่าเจ็บใจคือมันบอกเป็นเลขรหัสที่เราๆ ท่านๆ ต้องงงเพราะไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร และจะมีทางแก้ไขอย่างไร ผมไปอ่านเจอมาว่าแต่ละตัวมีความหมายอย่างไร ก็ลองแปลมาให้คุณๆ ได้อ่าน คิดว่าน่าจะเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา ได้บ้าง รหัสที่แจ้งของ Blue Screen จริงๆมีเกินร้อยตัว
    • 1.(stop code 0X000000BE) Attempted Write To Readonly Memory สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการนี้เกิดจากการ ลง driver หรือ โปรแกรม หรือ service ที่ผิดพลาด เช่น ไฟล์บางไฟล์เสีย ไดร์เวอร์คนละรุ่นกัน ทางแก้ไขให้ uninstall โปรแกรมตัวที่ลงก่อนที่จะเกิดปัญหานี้ ถ้าเป็นไดร์เวอร์ก็ให้ทำการ roll back ไดร์เวอร์ตัวเก่ามาใช้ หรือ หาไดร์เวอร์ที่ล่าสุดมาลง (กรณีที่มีใหม่กว่า) ถ้าเป็นพวก service ต่างๆที่เราเปิดก่อนเกิดปัญหาก็ให้ทำการปิด หรือ disable ซะ
    • 2.(stop code 0X000000C2) Bad Pool Caller สาเหตุและแนวทางแก้ไข: ตัวนี้จะ คล้ายกับตัวข้างบน แต่เน้นที่พวก hardware คือเกิดจากอัฟเกรดเครื่องพวก Hardware ต่าง เช่น ram ,harddisk การ์ดต่างๆ ไม่ compatible กับ XP ทางแก้ไขก็ให้เอาอุปกรณ์ที่อัฟเกรดออก ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ให้ลงไดร์เวอร์ หรือ อัฟเดท firmware ของอุปกรณ์นั้นใหม่ และคำเตือนสำหรับการจะอัฟเดท ให้ปิด anti-virus ด้วยนะครับ เดียวมันจะยุ่งเพราะพวกโปรแกรม anti-virus มันจะมองว่าเป็นไวรัส
    • 3.(stop code 0X0000002E) Data Bus Error สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการนี้เกิดจากการส่งข้อมูลที่เรียก ว่า BUS ของฮาร์ดแวร์เสียหาย ซึ่งได้แก่ ระบบแรม ,cache L2 ของซีพียู , เมมโมรีของการ์ดจอ, ฮาร์ดดิสก์ทำงานหนักถึงขั้น error (ร้อนเกินไป) และเมนบอร์ดเสีย
    • 4.(stop code 0X000000D1)Driver IRQL Not Less Or Equal สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการไดร์เวอร์กับ IRQ(Interrupt Request ) ไม่ตรงกัน การแก้ไขก็เหมือนกับ error ข้อที่ 1
    • 5. (stop code 0X0000009F)Driver Power State Failure สาเหตุและแนวทาง แก้ไข: อาการนี้เกิดจาก ระบบการจัดการด้านพลังงานกับไดรเวอร์ หรือ service ขัดแย้งกัน เมื่อคุณให้คอมทำงานแบบ”hibernate” แนวทางแก้ไข ถ้าวินโดวส์แจ้ง error ไดร์เวอร์หรือ service ตัวไหนก็ให้ uninstall ตัวนั้น หรือจะใช้วิธี Rollback driver หรือ ปิดระบบจัดการพลังงานของวินโดวส์ซะ
    • 6.(stop code 0X000000CE) Driver Unloaded Without Cancelling Pending Operations สาเหตุและแนว ทางแก้ไข: อาการไดร์เวอร์ปิดตัวเองทั้งๆ ทีวินโดวส์ยังไม่ได้สั่ง การแก้ไขให้ทำเหมือนข้อ 1
    • 7.(stop code 0X000000F2)Hardware Interrupt Storm สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการที่เกิดจากอุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์ เช่น USB หรือ SCSI controller จัดตำแหน่งกับ IRQ ผิดพลาด สาเหตุจากไดร์เวอร์หรือ firmware การแก้ไขเหมือนกับข้อ 1
    • 8.(stop code 0X0000007B)Inaccessible Boot Device สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการ นี้จะมักเจอตอนบูตวินโดวส์ จะมีข้อความบอกว่าไม่สามารถอ่านข้อมูลของไฟล์ระบบหรือ boot partitions ได้ ให้ตรวจฮาร์ดดิสก์ว่าปกติหรือไม่ สายแพหรือสายไฟที่เข้าฮาร์ดดิสก์หลุดหรือไม่ ถ้าปกติดีก็ให้ตรวจไฟล์ boot.ini อาจจะเสีย หรือไม่ก็มีการทำงานแบบmulti OS ให้ตรวจดูว่าที่ไฟล์นี้อาจเขียน config ของ OS ขัดแย้งกัน อีกกรณี หนึ่งที่เกิด error นี้ คือเกิดขณะ upgrade วินโดวส์ สาเหตุจากมีอุปกรณ์บางตัวไม่ compatible ให้ลองเอาอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นหรือคิดว่ามีปัญหาออก เมื่อทำการ upgrade วินโดวส์ เรียบร้อย ค่อยเอาอุปกรณ์ที่มีปัญหาใส่กลับแล้วติดตั้งด้วยไดร์เวอร์รุ่นล่าสุด
    • 9. (stop code 0X0000007A) Kernel Data Inpage Error สาเหตุและแนวทาง แก้ไข: อาการนี้เกิดมีปัญหากับระบบ virtual memory คือวินโดวส์ไม่สามารถอ่านหรือเขียนข้อมูลที่ swapfile ได้ สาเหตุอาจเกิดจากฮาร์ดดิสก์เกิด bad sector, เครื่องติดไวรัส, ระบบ SCSI ผิดพลาด, RAM เสีย หรือ เมนบอร์ดเสีย
    • 10. (stop code 0X00000077) Kernel Stack Inpage Error สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการ และสาเหตุเดียวกับข้อ 9
    • 11.(stop code 0X0000001E) Kmode Exception Not Handled สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการนี้เกิดการทำงานที่ ผิดพลาดของไดร์เวอร์ หรือ service กับ หน่วยความจำ และ IRQ ถ้ามีรายชื่อของไฟล์หรือ service แสดงออกมากับ error นี้ให้ทำการ uninstall โปรแกรมหรือทำการ roll back ไดร์เวอร์ตัวนั้น ถ้ามีการแจ้งว่า error ที่ไฟล์ win32k สาเหตุเกิดจาก การ control software ของบริษัทอื่นๆ (Third-party) ที่ไม่ใช้ของวินโดวส์ ซึ่งมักจะเกิดกับพวก Networking และ Wireless เป็นส่วนใหญ่ Error นี้อาจจะเกิดสาเหตุอีกอย่าง นั้นคือการ run โปรแกรมต่างๆ แต่หน่วยความจำไม่เพียงพอ
    • 12.(stop code 0X00000079)Mismatched Hal สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการ นี้เกิดการทำงานผิดพลาดของ Hardware Abstraction Layer (HAL) มาทำความเข้าใจกับเจ้า HAL ก่อน HAL มีหน้าที่เป็นตัวจัดระบบติดต่อระหว่างฮาร์ดแวร์กับซอฟท์แวร์ว่าแอปพลิเคชั่น ตัวไหนวิ่งกับอุปกรณ์ตัวไหนให้ถูกต้อง ยกตัวอย่าง คุณมีซอฟท์แวร์ที่ออกแบบไว้ใช้กับ Dual CPU มาใช้กับเมนบอร์ดที่เป็น Single CPU วินโดว์ก็จะไม่ทำงาน วิธีแก้คือ reinstall วินโดวส์ใหม่ สาเหตุ อีกประการการคือไฟล์ที่ชื่อ NToskrnl.exe หรือ Hal.dll หมดอายุหรือถูกแก้ไข ให้เอา Backup ไฟล์ หรือเอา original ไฟล์ที่คิดว่าไม่เสียหรือเวอร์ชั่นล่าสุดก๊อปปี้ทับไฟล์ที่เสีย
    • 13.(stop code 0X0000003F)No More System PTEs สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการ นี้เกิดจากระบบ Page Table Entries (PTEs) ทำงานโดย Virtual Memory Manager (VMM) ผิดพลาด ทำให้วินโดวส์ทำงานโดยไม่มี PTEs ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับวินโดวส์ อาการนี้มักจะเกิดกับการที่คุณทำงานแบบ multi monitors ถ้าคุณเกิดปัญหานี้บ่อยครั้ง คุณสามารถปรับแต่ง PTEs ได้ใหม่ ดังนี้
    • 1. ให้เปิด Registry ขึ้นมาแก้ไข โดยไปที่ Start > Run แล้วพิมพ์คำสั่ง Regedit
    • 2. ไปตามคีย์นี้ HKEY_LOCAL_MACHINESYSTEMCurrentControlSetControlSession ManagerMemory Management
    • 3. ให้ดูที่หน้าต่างขวามือ ดับคลิกที่ PagedPoolSize ให้ใส่ค่าเป็น 0 ที่ Value data และคลิก OK
    • 4. ดับเบิลคลิกที่ SystemPages ถ้าคุณใช้ระบบจอแบบ Multi Monitor ให้ใส่ค่า 36000 ที่ Value data หรือใส่ค่า 40000 ถ้าเครื่องคุณมี RAM 128 MB และค่า 110000 ในกรณีที่เครื่องมี RAM เกินกว่า 128 MB แล้วคลิก OK รีสตาร์ทเครื่อง
    • 14.(stop code 0X00000024) NTFS File System สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการ นี้สาเหตุเกิดจากการรายงานผิดพลาดของ Ntfs.sys คือไดร์เวอร์ของ NTFS อ่านและเขียนข้อมูลผิดพลาด สาเหตูนี้รวมถึง การทำงานผิดพลาดของ controller ของ IDE หรือ SCSI เนื่องจากการทำงานของโปรแกรมสแกนไวรัส หรือ พื้นที่ของฮาร์ดดิสก์เสีย คุณๆสามารถทราบรายละเอียดของerror นี้ได้โดยให้เปิดดูที่ Event Viewer วิธีเปิดก็ให้ไปที่ start > run แล้วพิมพ์คำสั่ง eventvwr.msc เพื่อเปิดดู Log file ของการ error โดยให้ดูการ error ของ SCSI หรือ FASTFAT ในหมวด System หรือ Autochk ในหมวด Application
    • 15.(stop code 0X00000050)Page Fault In Nonpaged Area สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการนี้สาเหตุการจากการผิด พลาดของการเขียนข้อมูลในแรม การแก้ไขก็ให้ทำความสะอาดขาแรมหรือลองสลับแรมดูหรือไม่ก็หาโปรแกรมที่ test แรมมาตรวจว่าแรมเสียหรือไม่
    • 16.(stop code 0Xc0000221)Status Image Checksum Mismatch สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการนี้สาเหตุ มาจาก swapfile เสียหายรวมถึงไดร์เวอร์ด้วย การแก้ไขก็เหมือนข้อ 15
    • 17.(stop code 0X000000EA) Thread Stuck In Device Driver สาเหตุและแนวทาง แก้ไข: อาการของ error นี้คือการทำงานของเครื่องจะทำงานในแบบวนซ้ำๆ กันไม่สิ้นสุด เช่นจะรีสตร์ทตลอด หรือแจ้งerror อะไรก็ได้ขึ้นมาไม่หยุด ปัญหานี้ สาเหตุอาจจะเกิดจาก bug ของโปรแกรมหรือสาเหตุอื่นๆ เป็นร้อย การแก้ไขให้พยายามทำตามนี้
    • 1.ให้ดูที่ power supply ของคุณว่าจ่ายกำลังไฟเพียงพอกับความต้องการของคอมคุณหรือไม่ ให้ดูว่าในเครื่องคุณมีอุปกรณ์มากไปไม่เหมาะกับ power supply ของคุณ ก็ให้เปลื่ยนตัวใหม่ให้กำลังมากขึ้น ปัญหานี้ผมเคยมีประสพการณ์แล้ว 2 ครั้ง คือ
    • 2. ให้คุณดูที่การ์ดจอว่าได้ใช้ไดร์เวอร์ตัวล่าสุด ถ้าแน่ใจว่าใช้ตัวล่าสุดแล้วยังมีอาการ ก็ให้ทำการ Rollback ไดร์เวอร์ตัวก่อนที่จะเกิดปัญหา
    • 3. ตรวจดูการ์ดจอและเมนบอร์ดว่าเสียหรือไม่เช่น มีรอยไหม้, ลายวงจรขาด มีชิ้นสวนบางชิ้นหลุดจากตำแหน่งเดิม เป็นต้น
    • 4. ดูที่ bios ว่าส่วนของ VGA slot เลือกโหมด 4x,8x ถูกตามสเปกของการ์ดหรือไม่
    • 5. เช็คดูที่ผู้ผลิตเมนบอร์ดว่ามีไดร์เวอร์ตัวใหม่หรือไม่ ถ้ามีให้โหลดลงใหม่ซะ 6. ถ้าคุณมีการ์ดแลนหรือเมนบอร์ดของคุณมี on board อยู่ให้ disable ฟังก์ชั่น “PXE Resume/Remote Wake Up” โดยไปปิดที่ BIOS
    • 18. (stop code 0X0000007F) unexpected Kernel Mode Trap สาเหตุ และแนวทางแก้ไข: อาการนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกับนัก overclock (ผมก็คนหนึ่ง) เป็นอาการ RAM ส่งข้อมูลให้ CPU ไม่สัมพันธ์กันคือ CPU วิ่งเร็วเกินไป หรือร้อนเกินไปสาเหตุเกิดจากการ overclock วิธีแก้ก็คือลด clock ลงมาให้เป็นปกติ หรือ หาทางระบายความร้อนจาก CPU ให้มากที่สุด
    • 19. (stop code 0X000000ED)Unmountable Boot Volume สาเหตุและแนวทาง แก้ไข: อาการที่วินโดวส์หาฮาร์ดดิสก์ไม่เจอ (ไม่ใช่ตัวบูตระบบ) ในกรณีที่คุณมีฮาร์ดดิสก์หลายตัว หนึ่งในนั้นคุณอาจใช้สายแพของฮาร์ดดิสก์ผิด เช่น ฮาร์ดดิสก์เป็นแบบ 33MB/secound ซึ่งต้องใช้สายแพ 40 pin แต่คุณเอาแบบ 80 pin ไปต่อแทน”Thank You” from 1 Member

    22 ตุลาคม 2553

    10 อันดับนักเตะผู้ดีค่าตัวแพงที่สุดตลอดกาล (ภาคสอง)

    10 อันดับนักเตะผู้ดีค่าตัวแพงที่สุดตลอดกาล (ภาคสอง)
    วันที่ 8/30/2010 1:05:47 AM

    Advertisement

    © AP Images
    ผ่านไปแล้ว 5 คน มาติดตามสุดยอดแข้งแดนผู้ดีที่มีค่าตัวสูงสุดตลอดกาลอีก 5 คนที่เหลือกันต่อไปเลย


    5) ฌอน ไรท์ ฟิลลิปส์
    ตำแหน่ง : ปีกขวา/ซ้าย
    จาก : แมนเชสเตอร์ ซิตี้
    ไป : เชลซี
    ค่าตัว : 21 ล้านปอนด์
    ย้ายเมื่อ : กรกฎาคม 2005
    อายุตอนที่ย้ายทีม : 22
    ลงเล่น : 124
    ยิงได้ : 10 ประตู
    จาก การที่ แมนฯ ซิตี้ สามารถดึงตัว ไรท์-ฟิลลิปส์ กลับมาจาก เชลซี เพียงแค่ราคา 9 ล้านปอนด์ แสดงให้เห็นถึงความจริงที่ว่า เขาสอบตกในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ อย่างสิ้นเชิง

    แม้ว่าเขาจะได้ลงสนามให้กับ "สิงห์บลูส์" ถึง 124 นัด แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพียงแค่ตัวสำรองเสียมากกว่า และตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่ค้าแข้งอยู่ในลอนดอน เราก็มักจะพบเขาที่ม้านั่งข้างสนามเสียเป็นส่วนใหญ่
    ระดับความสำเร็จ : 2 ดาว


    4) โจลีออน เลสค็อตต์
    ตำแหน่ง : เซนเตอร์ฮาล์ฟ/แบ็กซ้าย
    จาก : เอฟเวอร์ตัน
    ไป : แมนเชสเตอร์ ซิตี้
    ค่าตัว : 22 ล้านปอนด์
    ย้ายเมื่อ : สิงหาคม 2009
    อายุตอนที่ย้ายทีม : 27 ปี
    ลงเล่น : 30 นัด
    ยิงได้ : 2 ประตู
    หลัง จากที่ แมนฯ ซิตี้ ตกถังข้าวสารได้ ชีค มานซูร์ เข้ามาเป็นเจ้าของสโมสร "เรือใบ" ก็สร้างความปั่นป่วนให้ตลาดนักเตะโดยการทุ่มเงินแบบไม่อั้น และ เลสค็อตต์ ก็เป็นหนึ่งในนักเตะคนแรกๆ ที่ ซิตี้ ทุ่มเงินแบบบ้าคลั่งซื้อตัวมาร่วมทีม

    มาร์ค ฮิวจ์ส ดึงตัว เลสค็อตต์ มาร่วมถิ่น อีสต์แลนด์เมื่อปี 2009 และเมื่อปีที่ผ่านมาเขาก็มีโอกาสลงสนามไป 30 นัด โดยที่ไม่มีอะไรให้น่าประทับใจเลย ซึ่งค่าตัวที่ ซิตี้ ลงทุนไปตั้งแต่แรก หากคิดเป็นแบบจำนวนนัดแล้ว พวกเขาเสียค่าตัวให้กับ เลสค็อตต์ นัดละ 7.3 แสนบาทเลยทีเดียว
    ระดับความสำเร็จ : 1 ดาว


    3) เดวิด เบ็คแฮม
    ตำแหน่ง : ปีกขวา/มิดฟิลด์ตัวกลาง
    จาก : แมนฯ ยูไนเต็ด
    ไป : เรอัล มาดริด
    ค่าตัว : 25 ล้านปอนด์
    ย้ายเมื่อ : กรกฎาคม 2003
    อายุตอนที่ย้ายทีม : 27 ปี
    ลงเล่น : 155 นัด
    ยิงได้ : 20 ประตู
    ประสบ ความสำเร็จมาเกือบแทบจะทุกรางวัลแล้วกับ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่เมื่อ เรอัล มาดริด มาเคาะประตูติดต่อ บวกกับโดนรองเท้าสตั๊ดบินเข้าใส่ที่ปลายคิ้ว ก็ถึงเวลาที่หนุ่มเบ๊คส์จะต้องอำลาถิ่นโอลด์แทร็ฟฟอร์ดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ ได้

    เบ็คแฮม ได้รับประสบการณ์ทั้งดีและแย่ผสมผสานกันไปในถิ่นซานติอาโก้ เบนาเบว โดยเฉพาะในยุคของกุนซือ ฟาบิโอ คาเปลโล่ และแม้ว่าตลอดเวลาที่ค้าแข้งกับ "ราชันชุดขาว" เขาจะได้เพียงแค่แชมป์ลา ลีกา กับ ซูเปร์โกปา อย่างละครั้ง แต่เขาก็ถือเป็นนักเตะที่คุ้มค่ามากที่สุดคนหนึ่งในยุคกาลาคติกอส
    ระดับความสำเร็จ : 4 ดาว


    2) เวย์น รูนี่ย์
    ตำแหน่ง : ศูนย์หน้า
    จาก : เอฟเวอร์ตัน
    ไป : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
    ค่าตัว : 25.6 ล้านปอนด์
    ย้ายเมื่อ : สิงหาคม 2004
    อายุตอนที่ย้ายทีม : 18 ปี
    ลงเล่น : 284 นัด
    ยิงได้ : 131 ประตู
    เวย์ น รูนี่ย์ ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด นั่นอาจจะเพราะเขาได้เป็นตัวหลักของทีมตั้งแต่อายุยังน้อย มันไม่มีอะไรที่น่าแปลกใจเลยสำหรับจำนวน 131 ประตูที่เขาทำให้ทีมได้

    ตั้งแต่ ย้ายมาร่วมทัพ ยูไนเต็ด "วัซซ่า" ค่อยๆพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นในทุกๆปี และเมื่อฤดูกาลที่แล้วเขาก็สามารถระเบิดฟอร์มอันแท้จริงด้วยการกดไปถึง 34 ประตู จากการลงสนาม 44 นัด ซึ่งก็เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าการลงทุนของ เฟอร์กี้ ในตอนนั้นถือว่าได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากเลยทีเดียวในปัจจุบัน
    ระดับความสำเร็จ : 5 ดาว


    1) ริโอ เฟอร์ดินานด์
    ตำแหน่ง : เซนเตอร์ฮาล์ฟ
    จาก : ลีดส์ ยูไนเต็ด
    ไป : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
    ค่าตัว : 31.1 ล้านปอนด์
    ย้ายเมื่อ : กรกฎาคม 2002
    อายุตอนที่ย้ายทีม : 23 ปี
    ลงเล่น : 331 นัด
    ยิงได้ : 7 ประตู
    นัก เตะผู้ซึ่งถูก ฟาบิโอ คาเปลโล่ เลือกให้เป็นกัปตันทีมชาติแทนที่ จอห์น เทอร์รี่ ก่อนที่เขาจะประสบปัญหาอาการบาดเจ็บส่งผลให้ชวดไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย

    เฟอร์ดินานด์ เป็นนักเตะชาวอังกฤษที่มีค่าตัวแพงที่สุดตลอดกาล เขาประสบความสำเร็จคว้ารางวัลร่วมกับ แมนฯ ยูไนเต็ดมากมากมาย ประกอบไปด้วย พรัเมียร์ลีก 4 ครั้ง, ลีก คัพ 2 ครั้ง และอีกหนึ่งครั้งกับถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
    ระดับความสำเร็จ : 5 ดาว

    ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล วันที่ : 8/30/2010 1:07:19 AM

    10 อันดับนักเตะผู้ดีค่าตัวแพงที่สุดตลอดกาล (ภาค1)

    10 อันดับนักเตะผู้ดีค่าตัวแพงที่สุดตลอดกาล (ภาค1)
    วันที่ 8/29/2010 7:09:06 PM



    © AP Images
    ซัมเมอร์นี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพิ่งจะคว้าตัว เจมส์ มิลเนอร์ มาร่วมทีมด้วยค่าตัวถึง 18 ล้านปอนด์ แต่อย่างไรก็ดี เขายังไม่ใช่นักเตะเลือดผู้ดีที่มีค่าตัวแพงที่สุด


    ในทำเนียบ 10 อันดับนักเตะชาวอังกฤษที่มีค่าตัวแพงที่สุดตลอดกาล มีรายนามแข้งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีอย่าง เดวิด เบ็คแฮม ริโอ เฟอร์ดินานด์ เวย์น รูนีย์ ฯลฯ

    แต่น่าเสียดาย อลัน เชียร์เรอร์ ตำนานดาวยิงทีมสิงโตคำรามที่ย้ายจาก แบล็คเบิร์น ไป นิวคาสเซิ่ล เมื่อปี 1996 ด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์ กลับไม่มีชื่อ เพราะโดนรุ่นน้องเบียดตกชาร์ทไปอย่างหวุดหวิด

    ทั้ง 10 คนจะมีใครบ้าง ติดตามได้ดังต่อไปนี้

    10) โอเว่น ฮาร์กรีฟส์
    ตำแหน่ง : มิดฟิลด์ตัวกลาง
    จาก : บาเยิร์น มิวนิค
    ไป : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
    ค่าตัว : 17 ล้านปอนด์
    ย้ายเมื่อ : พฤษภาคม 2007
    อายุตอนที่ย้ายทีม : 26 ปี
    ลงเล่น : 38 นัด
    ยิงได้ : 2 ประตู

    ถ้าจะกล่าวถึงนักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดของทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมัน คงจะไม่มีใครกล้าปฏิเสธชื่อของ โอเว่น ฮากรีฟส์ ตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่มิดฟิลด์รายนี้ค้าแข้งอยู่ในถิ่นโอล์ด แทร็ฟฟอร์ด ต้องประสบกับปัญหาอาการบาดเจ็บแบบไม่หยุดหย่อน ส่งผลให้อนาคตของแข้งวัย 26 ปี รายนี้เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่เขายังคงรอที่จะกลับมาเอาชนะใจ เฟอร์กี้ อีกครั้ง ถ้าสามารถสลัดอาการบาดเจ็บออกไปได้
    ระดับความสำเร็จ : 2 ดาว

    9) เกล็น จอห์นสัน
    ตำแหน่ง : แบ็กขวา
    จาก : พอร์ทสมัธ
    ไป : ลิเวอร์พูล
    ค่าตัว : 18 ล้านปอนด์
    ย้ายเมื่อ : มิถุนายน 2009
    อายุตอนที่ย้ายทีม : 24 ปี
    ลงเล่น : 34 นัด
    ยิงได้ : 3 ประตู
    หลัง จากล้มเหลวกับ เชลซี แต่จอห์นสัน สามารถกลับมาแจ้งเกิดได้อีกครั้งกับ พอร์ทสมัธ ก่อนที่ ราฟาเอล เบนิเตซ บอสใหญ่ ลิเวอร์พูล ในตอนนั้น จะดึงเขามาร่วมถิ่นแอนฟิลด์
    แบ็กทีมชาติอังกฤษเริ่มต้นฤดูกาลแรกกับ "หงส์แดง" ได้ไม่ดีเท่าที่ควร จุดบอดของเขาอยู่ที่เกมรับ แต่บางครั้งเขาก็ทำประโยชน์ให้ทีมได้มากเลยทีเดียวในเรื่องของเกมรุก ปัญหาก็คือฟอร์มของเขาไม่คงเส้นคงวาเท่าที่ควร และในฤดูกาลใหม่นี้ จอห์นสัน ก็หวังจะเรียกฟอร์มเก่งกลับมาเพื่อพิสูจน์ว่าเขามีดีพอกับ ลิเวอร์พูล
    ระดับความสำเร็จ : 3 ดาว

    8) ริโอ เฟอร์ดินานด์
    ตำแหน่ง : เซนเตอร์ฮาล์ฟ
    จาก : เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
    ไป : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
    ค่าตัว : 18 ล้านปอนด์
    ย้ายเมื่อ : พฤศจิกายน 2000
    อายุตอนที่ย้ายทีม : 22 ปี
    ลงเล่น : 73 นัด
    ยิงได้ : 3 ประตู
    เป็น นักเตะดาวรุ่งพุ่งแรงที่หลายคนคาดว่าจะมาเป็นตัวหลักให้ทีมชาติอังกฤษใน อนาคต ณ เวลานั้น และเป็น ลีดส์ ที่ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อคว้า เฟอร์ดินานด์ มาจากอ้อมอก เวสต์แฮมที่เอลแลนด์ โร้ด เฟอร์ดินานด์ โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นร่วมกับอีกหลายนักดาวรุ่งเตะอย่าง แฮร์รี่ คีเวลล์, ลี โบว์เยอร์, อลัน สมิธ, ไมเคิ่ล บริดเจส, เจสัน วิลค็อกซ์ ฯลฯ จนสามารถพา "ยูงทอง" ทะลุถึงรอบตัดเชือกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เลยทีเดียว ก่อนที่ทีมจะแพแตกเนื่องจากภาวะการเงินที่ย่ำแย่
    ระดับความสำเร็จ : 4 ดาว


    7) เจมส์ มิลเนอร์
    ตำแหน่ง : ปีกขวา/ซ้าย/มิดฟิลด์ตัวกลาง
    จาก : แอสตัน วิลล่า
    ไป : แมนเชสเตอร์ ซิตี้
    ค่าตัว : 18 ล้านปอนด์ (บวก สตีเฟ่น ไอร์แลนด์)
    ย้ายเมื่อ : สิงหาคม 2010
    อายุตอนที่ย้ายทีม : 24 ปี
    ลงเล่น : 1 นัด
    ยิงได้ : 0 ประตู
    เวลา เท่านั้นที่จะสามารถบอกได้ว่าอดีตแข้ง ลีดส์ และ นิวคาสเซิ่ล รายนี้ จะประสบความสำเร็จในถิ่นซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์ หรือไม่ แต่ถ้าหากดูจากความสามารถของเขาแล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
    เงิน 18 ล้านปอนด์ บวก สตีเฟ่น ไอร์แลนด์ ทำให้มูลค่าที่แท้จริงของ มิลเนอร์ น่าจะสูงถึง 26 ล้านปอนด์ เลยทีเดียว แต่จากการที่ทีม "เรือใบ" มีเงินให้จับจ่ายใช้สอยมากมาย คงจะไม่เป็นกังวลกับเรื่องค่าตัวที่ดูสูงขนาดนี้มากนัก
    โอกาสประสบความสำเร็จ : 4 ดาว

    6)ไมเคิ่ล คาร์ริค
    ตำแหน่ง : มิดฟิลด์ตัวกลาง
    จาก : สเปอร์ส
    ไป : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
    ค่าตัว : 18.6 ล้านปอนด์
    ย้ายเมื่อ : กรกฎาคม 2006
    อายุตอนที่ย้ายทีม : 25 ปี
    ลงเล่น : 189 นัด
    ยิงได้ : 17 ประตู
    ถือ เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับ สเปอร์ส ที่ดึงตัว คาร์ริค มาจาก เวสต์แฮม ด้วยค่าตัวเพียง 2.7 ล้านปอนด์ แต่กลับสามารถขายให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ดสูงถึงเกือบ 20 ล้านปอนด์ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเป็นคำถามอยู่ว่า เขาโชว์ฟอร์มได้คุ้มกับค่าตัวที่ ยูไนเต็ด ลงทุนไปหรือยัง?
    แต่แม้ว่าเขา จะยังถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับความคุ้มค่าของเงินที่ "ปีศาจแดง" ได้ทุ่มลงไปเพียงใด อย่างน้อยเขาก็ยังได้รับเสียงชื่นชมจากเหล่านักวิจารณ์มากกว่า ฮวน เซบาสเตียน เวรอน อยู่ดี
    ระดับความสำเร็จ : 3 ดาว

    ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล วันที่ : 8/29/2010 7:16:18 PM

    ท็อป10 แข้งเศรษฐี

    ท็อป10 แข้งเศรษฐี
    วันที่ 10/8/2010 10:21:33 PM



    © AP Images
    หลังจากที่ได้ทราบ 10 สุดยอดมหาเศรษฐีเจ้าของทีมและผู้ถือหุ้นของสโมสรต่างๆ กันไปแล้ว วันนี้ก็มาถึงคิวของนักเตะที่รวยที่สุดจากรายงานของแม็กกาซีนลูกหนัง 4-4-2 กันบ้าง


    10 นักเตะที่รวยที่สุด

    (เฉพาะนักเตะสัญชาติสหราชอาณาจักรหรือที่มาเล่นในเกาะอังกฤษเท่านั้น)


    1. เดวิด เบ็คแฮม (แอลเอ แกแล็คซี่ : 100 ล้านปอนด์ : 5,000 ล้านบาท)
    (ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 125 ล้านปอนด์)

    ถึงจะอยู่ในช่วงปลายการค้าแข้งแต่ชื่อของซูเปอร์สตาร์วัย 35 ปี ยังขายได้อยู่เสมอ และแม้ว่าทรัพย์สินจะลดลงจากปีที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด แต่ เบ็คแฮมและ วิคตอเรีย ศรีภรรยา ก็ยังเหลือกินเหลือใช้ไปอีกสิบชาติได้สบายๆ เพราะนอกจากค่าเหนื่อยก้อนโตที่เคยได้จากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เรอัล มาดริด และแอลเล แกแล็คซี่ ต้นสังกัดปัจจุบันแล้ว อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษ ยังมีรายรับมหาศาลจากการเป็นพรีเซนเตอร์ของสินค้าชั้นนำต่างๆ รวมถึงบริษัทน้ำหอมและแบรนด์แฟชั่นของทั้งตนเองและภรรยาด้วย

    2. ไมเคิ่ล โอเว่น (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : 40 ล้านปอนด์ : 1,200 ล้านบาท)
    (ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 38 ล้านปอนด์)

    หลังจากที่ย้ายมาเล่นให้ "ปีศาจแดง" โอเว่น ก็ได้ค่าเหนื่อยแบบนัดต่อนัด ซึ่งต่างจากที่เคยได้ถึง 110,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (ราว 5.5 ล้านบาท) จากนิวคาสเซิ่ล อย่างไรก็ตาม อดีตดาวยิงทีมชาติอังกฤษ ก็ยังอยู่หัวแถวของนักเตะที่ล่ำซำที่สุดเนื่องจากอาศัยบุญเก่าที่เคยได้เงิน จำนวนมากจากสปอนเซอร์สมัยที่ยังรุ่งๆ กับลิเวอร์พูลและเรอัล มาดริด ไม่ว่าจะเป็นการเป็นพรีเซนเตอร์ของซีเรียลเนสท์เล่, นาฬิกา Tissot, รถจากัวร์, ผลิตภัณฑ์กีฬาอัมโบร และยังมีบริษัทโอเว่น โปรโมชั่นส์ ของตัวเองด้วย

    3. ริโอ เฟอร์ดินานด์ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : 34 ล้านปอนด์ : 1,700 ล้านบาท)
    (ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 30 ล้านปอนด์)

    กองหลังตัวเก่งเจอปัญหาบาดเจ็บรบกวนอย่างต่อเนื่อง แต่โชคดีที่ เฟอร์ดินานด์ ยังมีรายรับสัปดาห์ละ 120,000 ปอนด์ (ราว 6 ล้านบาท) จากปีศาจแดงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งค่าเซ็นสัญญาเป็นหนึ่งในพรีเซนเตอร์ของรองเท้าสตั๊ดไนกี้ที่ทำเงิน ให้จำนวนมากโดยที่แทบไม่ต้องออกแรง ทว่า หลายคนอาจจะไม่เคยทราบมาก่อนว่าเซนเตอร์ฮาล์ฟรายนี้มีหุ้นในค่ายเพลงชื่อ ไวท์ ชอล์ค ถึง 60% ซึ่งเจ้าตัวหวังว่าจะกลายเจ้าของค่ายเพลงผู้ทรงอิทธิพลบ้าง แต่น่าเสียดายที่ธุรกิจนี้แป้กอย่างจัง

    4. โซล แคมป์เบลล์ (นิวคาสเซิ่ล : 31 ล้านปอนด์ : 1,550 ล้านบาท)
    (ไม่มีรายงานเมื่อปีที่ผ่านมา)

    หลายคนอาจจะไม่เชื่อสายตาที่เห็นชื่อของเซนเตอร์ฮาล์ฟจอมเก๋าอยู่ใน อันดับที่ 4 แต่ด้วยความที่แคมป์เบลล์ ค้าแข้งอาชีพมานาน ทำให้เขายังมีเงินทองและทรัพย์สินอีกเป็นกองพะเนิน โดยล่าสุด เจ้าตัวเซ็นสัญญาร่วมทีมนิวคาสเซิ่ลเป็นเวลา 1 ฤดูกาล รายได้ของอดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษมาจากการได้ค่าเหนื่อยถึง 5 ล้านปอนด์ต่อปี (ราว 250 ล้านบาท) สมัยที่ย้ายจากท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ มาอยู่กับอาร์เซนอล แบบไม่มีค่าตัวตามกฎบอสแมนเมื่อปี 2001
    เมื่อเดือน ม.ค. 2010 แคมป์เบลล์ ฟ้องร้องพอร์ทสมัธที่ไม่ยอมจ่ายค่าลิขสิทธิภาพลักษณ์และโบนัสอื่นๆ ให้กับเขาเป็นเงิน 1.7 ล้านปอนด์ (ราว 85 ล้านบาท) นอกจากส่วนของฟุตบอลแล้ว กองหลังรายนี้ยังมีบ้านราคากว่า 10 ล้านปอนด์ในกรุงลอนดอน และบริษัทส่วนตัวที่ชื่อโซล แมน จำกัดด้วย

    5. ไรอัน กิ๊กส์ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : 27 ล้านปอนด์ : 1,350 ล้านบาท)
    (ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 24 ล้านปอนด์)

    ปีกพ่อมดของ "ปีศาจแดง" ลงเล่นให้ต้นสังกัดมาแล้วกว่า 800 นัดและมีสัญญาในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ไปจนจบฤดูกาลหน้า และนั่นก็จะทำให้ กิ๊กส์ อยู่กับทีมชุดใหญ่ของแมนฯ ยูฯ มากว่า 20 ปี และนั่นทำให้สโมสรตอบแทนความจงรักภักดีของเขาด้วยการให้ค่าเหนื่อย 4.2 ล้านปอนด์ต่อปี (ราว 210 ล้านบาท) นอกจากนั้น กิ๊กซี่ ยังเป็นพรีเซนเตอร์ให้รีบอคมาหลายปีดีดัก ในขณะที่ บริษัทไรอัน กิ๊กส์ จำกัดก็ทำให้รายได้ให้ดาวเตะทีมชาติเวลส์ไม่น้อยเช่นกัน

    6. เวย์น รูนี่ย์ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : 25 ล้านปอนด์ : 1,250 ล้านบาท)
    (ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 37 ล้านปอนด์)

    ดูเหมือนว่า 2010 จะไม่ใช่ปีทองของรูนเท่าใดนัก เพราะนอกจากจะโชว์ฟอร์มไม่ออกในศึกฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้แล้ว หัวหอกทีมชาติอังกฤษ ยังเจอวิกฤติครอบครัวหลังถูกโสเภณีรายหนึ่งออกมาแฉผ่านสื่อจนเป็นข่าวครึก โครมไปทั่วโลกว่าสตาร์ "ปีศาจแดง" ซื้อบริการจากเธอนานหลายเดือนระหว่างที่ คอลีน ผู้เป็นภรรยากำลังตั้งครรภ์

    เฉพาะการเป็นพรีเซนเตอร์ให้โคคา-โคล่า, บริษัทเกมอีเอ สปอร์ตส, ไนกี้และเมอร์เซเดส ก็ทำเงินให้รูนี่ย์ปีละ 6 ล้านปอนด์ (ราว 300 ล้านบาท) แล้ว นอกจากนั้น ยังได้ค่าเหนื่อยจากแมนฯ ยูฯ สัปดาห์ละ 100,000 ปอนด์ และกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาขอเพิ่มเป็น 130,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ด้วย

    7. สตีเว่น เจอร์ราร์ด (ลิเวอร์พูล : 22 ล้านปอนด์ : 1,100 ล้านบาท)
    (ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 20 ล้านปอนด์)

    กัปตันทีมหงส์แดง มีรายรับ 6.5 ล้านปอนด์ต่อปีจากสโมสร ทั้งค่าเหนื่อยและโบนัสต่างๆ นอกจากนั้น การเซ็นสัญญากับอาดิดาสและลูคอเซด ยังทำเงินให้ เจอร์ราร์ด อีกปีละ 750,000 ปอนด์ด้วย ซึ่งนั้นทำให้เขามีรายได้รวมต่อปีราว 9 ล้านปอนด์ (ราว 450 ล้านบาท) จากการรายงานของฟอร์บส์ แม็กกาซีน

    มิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษ ลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเมอร์ซีย์ไซด์และดูไบ รวมทั้งมีบริษัทเป็นของตัวเองที่ชื่อ สตีเว่น เจอร์ราร์ด โปรโมชั่นส์ ซึ่งทำให้เขามีรายได้เพิ่มขึ้นมาอีก 2 ล้านปอนด์จากปีที่แล้ว

    7. แฟรงค์ แลมพาร์ด (เชลซี : 22 ล้านปอนด์ : 1,100 ล้านบาท)
    (ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 21 ล้านปอนด์)

    ในช่วงซัมเมอร์ปี 2008 กองกลางทีมสิงโตคำรามจรดปากกาสัญญากับเชลซีออกไปอีก 5 ปี คิดเป็นมูลค่า 33 ล้านปอนด์ (ราว 1,650 ล้านบาท) และยังได้รับค่าเหนื่อยสูงถึง 140,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (ราว 7 ล้านปอนด์) บวกกับอีก 1 ล้านปอนด์ต่อปีจากสปอนเซอร์อย่างอาดิดาส

    แลมพาร์ด วัย 32 ปี มีบริษัทของตัวเอง 3 บริษัทซึ่งรวมถึงแฟรงค์ แลมพาร์ด โปรโมชั่นส์ ด้วย

    9. จอห์น เทอร์รี่ (เชลซี : 19 ล้านปอนด์ : 950 ล้านบาท)
    (ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 18 ล้านปอนด์)

    กัปตันทีมสิงห์บลูส์ เจอปัญหาข่าวฉาวรุมเร้าหลังแอบนอกใจภรรยาไปกิ๊กกับอดีตแฟนเพื่อนอย่าง เวย์น บริดจ์ จนถึงขั้นทำให้โดนริบปลอกแขนกัปตันทีมชาติอังกฤษ อย่างไรก็ตาม เจที ยังเป็นที่รักของสาวกเชลซีหลังจากที่เขาปฏิเสธค่าเหนื่อย 250,000 ปอนด์ (ราว 12.5 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพื่ออยู่ในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ และรับค่าเหนื่อย 160,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์แทน
    เทอร์รี่ ทำสัญญากับสโมสรไว้ว่าเมื่อเขาแขวนสตั๊ดจะได้รับการจัดเทสติโมเนียลแมตช์ และนั่นการันตีเงิน 2.5 ล้านปอนด์สำหรับเซนเตอร์ฮาล์ฟตัวเก่งด้วย


    10. ปาทริค วิเอร่า (แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : 18 ล้านปอนด์ : 900 ล้านบาท)
    (ไม่มีรายงานจากปีที่แล้ว)

    ดาวเตะชาวฝรั่งเศส ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดในโลกสมัยที่เล่นให้อา ร์เซน่อล ก่อนที่จะย้ายไปหาประสบการณ์ในลีกกัลโช่ เซเรีย อา กับยูเวนตุสและอินเตอร์ ที่ซึ่งเขาได้ค่าเหนื่อยประมาณ 90,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (ราว 4.5 ล้านบาท) แต่การย้ายทีมครั้งล่าสุดมาเล่นให้ "เรือใบสีฟ้า" ทำเงินให้ "ปั๊ต" สูงถึง 140,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 6 เดือน




    ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล วันที่ : 10/11/2010 10:23:02 PM

    10 กุนซือที่รวยที่สุด

    10 กุนซือที่รวยที่สุด
    วันที่ 10/10/2010 3:16:51 PM

    Advertisement

    © AP Images
    มาถึงบทสรุปไตรภาคของ Football Rich List ประจำฤดูกาล 2010-11 จากแม็กกาซีนลูกหนัง 4-4-2 กันแล้ว โดยหลังจากที่ได้นำเสนอเจ้าของและผู้ถือหุ้น รวมถึงนักเตะที่รวยที่สุดในเกาะอังกฤษกันไปแล้ว เราก็มาปิดท้ายกันที่ 10 กุนซือที่ล่ำซำที่สุด


    1. ฟาบิโอ คาเปลโล่ (ทีมชาติอังกฤษ : 36 ล้านปอนด์ : 1,800 ล้านบาท)
    (ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 30 ล้านปอนด์)


    แม้ว่าจะทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังในศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้โค้ชชาวอิตาเลียน สูญเสียรายได้ 5 ล้านปอนด์ต่อปี (ราว 150 ล้านบาท) ในฐานะโค้ชทีมสิงโตคำรามแต่อย่างใด โดยก่อนที่จะมารับตำแหน่งนี้เมื่อเดือนธ.ค. 2007 คาเปลโล่ เคยพาสโมสรต่างๆ คว้าแชมป์ลีกสูงสุดมาแล้ว 7 ครั้งจาก 16 ฤดูกาลนับตั้งแต่เริ่มอาชีพกุนซือ

    2. รอย คีน (อิปสวิช : 28 ล้านปอนด์ : 1,400 ล้านบาท)
    (ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 27 ล้านปอนด์)

    ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การที่คีโน่ โผล่มาอยู่อันดับ 2 ก็เพราะทรัพย์สมบัติเก่าจากที่เคยค้าแข้งกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเขาเคยได้รับสัปดาห์ละ 90,000 ปอนด์ในฐานะนักเตะ และยังได้ค่าเซ็นสัญญาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับรองเท้าสตั๊ดเดียดอร่าอีก 500,000 ปอนด์ นอกจากนั้น หนังสืออัตชีวประวัติของเขายังเป็นหนึ่งในหนังสือที่ขายดีที่สุดด้วย (สำนักพิมพ์จ่ายเงินให้ล่วงหน้า 1 ล้านปอนด์)

    หลังจากแขวนสตั๊ดที่เซลติกแล้ว อดีตกัปตันทีม "ปีศาจแดง" ก็หันไปจับงานโค้ชกับซันเดอร์แลนด์ ที่ซึ่งเขาเซ็นสัญญามูลค่า 6 ล้านปอนด์ต่อ 3 ปี และหลังจากที่ลาออกจากทีม "แมวดำ" ได้ 4 เดือน คีน ก็ได้เป็นกุนซือของอิปสวิช ซึ่งแม็กกาซีน 4-4-2 คาดว่าเขาได้ค่าเหนื่อยเท่ากับที่ได้จากซันเดอร์แลนด์

    3. เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : 26 ล้านปอนด์ : 1,300 ล้านบาท)
    (ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 22 ล้านปอนด์)


    เฟอร์กี้ วัย 68 ปี เป็นกุนซือที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาลในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด และนั่นก็ทำให้สโมสรตอบแทนเขาด้วยสัญญามูลค่า 3.6 ล้านปอนด์ต่อปี (ราว 180 ล้านบาท) นอกจากนั้น โค้ชเลือดสกอตต์ ยังมีบริษัทเป็นของตัวเองที่ชื่อ เอเอฟซี สปอร์ตส โปรโมชั่นส์, เงินอีก 1 ล้านปอนด์จากการออกหนังสืออัตชีวประวัติ, ม้าแข่งราคาแพง และยังขาย toptable.com ซึ่งเว็ปไซต์จองโต๊ะร้านอาหารชื่อดังได้กำไรอีกเกือบ 4 ล้านปอนด์ (ราว 120 ล้านบาท) เมื่อเดือนก.ย. ที่ผ่านมาด้วย

    4. คาร์โล อันเชล็อตติ (เชลซี : 21 ล้านปอนด์ : 1,050 ล้านบาท)
    (ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 17 ล้านปอนด์)

    อีกหนึ่งโค้ชชาวอิตาเลียนที่เข้ามาโกยเงินในอังกฤษ อันเชล็อตติ อำลามิลานเพื่อมาคุมเชลซีเมื่อเดือนมิ.ย. 2009 และเซ็นสัญญาในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นเวลา 3 ปี พร้อมรับค่าเหนื่อย 6.5 ล้านปอนด์ต่อปี (ราว 325 ล้านบาท) พร้อมกับโบนัส 1 ล้านปอนด์สำหรับแชมป์พรีเมียร์ลีก และอีก 1 ล้านปอนด์รออยู่หากว่าพาสิงห์บลูส์คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ

    กุนซือวัย 51 ปี ประสบความสำเร็จตั้งแต่ปีแรกในเมืองผู้ดีหลังจากที่พาเชลซีคว้าดับเบิลแชมป์ ได้ในฤดูกาลที่ผ่านมา และอาจจะทำอันดับได้ดีกว่านี้ในปีหน้าหากว่าพาสโมสรคว้าเจ้ายุโรปได้สำเร็จ

    5. อาร์แซน เวนเกอร์ (อาร์เซน่อล : 17 ล้านปอนด์ : 850 ล้านบาท)
    (ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 15 ล้านปอนด์)

    สัญญาฉบับปัจจุบันของโค้ชชาวฝรั่งเศสมีมูลค่า 4 ล้านปอนด์ต่อปี (ราว 200 ล้านบาท) หลังจากที่เริ่มต้นในถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ด้วยค่าเหนื่อยราว 2 ล้านปอนด์ต่อปี แต่หลังจากที่ช่วยพาอาร์เซน่อลประสบความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ลีกและบอล ถ้วยในประเทศ รวมถึงการได้เล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก อย่างต่อเนื่อง บอร์ดบริหารของเดอะ กันเนอร์ส ก็ต้องพยายามอย่างหนักที่จะรั้ง เวนเกอร์ ในวัย 61 ปี เอาไว้กับสโมสรให้ได้นานที่สุด

    6. สเวน-โกรัน อีริคส์สัน (เลสเตอร์ ซิตี้ : 15 ล้านปอนด์ : 750 ล้านบาท)
    (ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 15 ล้านปอนด์)

    ไม่ต้องสงสัยเลยว่า อีริคส์สัน เป็นหนึ่งในกุนซือจอมพเนจรที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก เพราะหลังจากจะเคยคุมทีมชาติอังกฤษ ซึ่งได้ค่าเหนื่อย 4 ล้านปอนด์ต่อปี (ราว 120 ล้านบาท) มาแล้ว โค้ชชาวสวีดิชวัย 62 ปี ยังทำเงินมากมายจากการเซ็นสัญญาคุมทีม นับตั้งแต่ โกเตนเบิร์ก, เบนฟิก้า, ซามพ์โดเรีย, ลาซิโอ, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ทีมชาติเม็กซิโก, น็อตต์ เคาน์ตี้, ทีมชาติไอวอรี่โคสต์ และ เลสเตอร์ เป็นทีมล่าสุด

    7. โรแบร์โต้ มันชินี่ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : 15 ล้านปอนด์ : 750 ล้านบาท)

    (ปีที่แล้วไม่ติดอันดับ)

    แม้ว่าจะพาอินเตอร์ คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา มา 3 ปีซ้อน แต่เจ้าตัวก็ถูกเด้งจากเก้าอี้เมื่อจบฤดูกาล 2008 ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาได้ค่าเหนื่อยราว 5.5 ล้านปอนด์ต่อปี จากนั้น มันโช่ วัย 46 ปี ก็ได้เซ็นสัญญาคุมทีม "เรือใบสีฟ้า" แทน และนั่นทำเงินให้เขาถึง 6 ล้านปอนด์ต่อปี (ราว 300 ล้านบาท) โดยก่อนที่จะมาเป็นโค้ช มันชินี่ เคยเป็นนักเตะชื่อดังของซามพ์โดเรีย, ลาซิโอและทีมชาติอิตาลี มาก่อนด้วย

    8. โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ (ทีมสำรองแมนฯ ยูไนเต็ด : 10 ล้านปอนด์ : 500 ล้านบาท)
    (ปีที่แล้วไม่ติดอันดับ)

    อดีตกองหน้าตัวสำรองจอมอดทนของ "ปีศาจแดง" ได้ผันตัวเองมาเป็นโค้ชทีมสำรองให้กับสโมสรอย่างเต็มตัวเมื่อเดือนพ.ค. 2008 โดย โซลชาร์ เป็นที่จดจำของแฟนบอลจากการพังประตูชัยในช่วงท้ายเกมของรอบชิงชนะเลิศแช มเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปี 1999 โดยในช่วงที่ยังรุ่งๆ (1993-1996) เขาได้รับค่าเหนื่อยราว 1.6 ล้านปอนด์ต่อปีโดยที่ยังไม่รวมรายรับจากสปอนเซอร์อื่นๆ และหลังจากที่แขวนสตั๊ดไปเมื่อปี 2007 เขาก็ได้บริจาคเงิน 2 ล้านปอนด์ (ราว 100 ล้านบาท) ที่ได้มาจากเกมเทสติโมเนียลแมตช์ของตัวเองให้กับการกุศลทั้งหมด

    9. มาร์ค ฮิวจ์ (ฟูแล่ม : 10 ล้านปอนด์ : 500 ล้านบาท)
    (ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 15 ล้านปอนด์)

    ชื่อนี้ไม่เคยห่างหายไปจากวงการลูกหนังเมืองผู้ดีได้นาน เพราะเมื่อไหร่ที่มีการคาดเดารายชื่อกุนซือคนใหม่ของสโมสรต่างๆ ชื่อของ ฮิวจ์ วัย 46 ปี ก็มักจะโผล่ขึ้นมามีเอี่ยวด้วยเสมอ และหลังจากที่แยกทางกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ฮิวจ์ ก็ตัดสินใจเข้ามารับงานที่ฟูแล่ม แทนรอย ฮอดจ์สัน ที่ย้ายไปคุมลิเวอร์พูล

    ฮิวจ์ สร้างชื่อจากการเป็นนักเตะของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อนที่จะชีพจรลงเท้าค้าแข้งกับอีกหลายสโมสรทั้งในและนอกเกาะอังกฤษ ก่อนจะหันเหอาชีพมาเป็นโค้ช และแม้ว่าการคุมแต่ละทีมของเขาจะอยู่ได้ไม่นาน แต่ ฮิวจ์ ก็ทำเงินได้มากโข โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าเหนื่อยปีละ 3 ล้านปอนด์จาก "เรือใบสีฟ้า" นอกจากนั้น เขายังมีบริษัทออกแบบและรับสร้างบ้าน รวมทั้ง โรงเรียนสอนฟุตบอลด้วย

    10. แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ (ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ : 10 ล้านปอนด์ : 500 ล้านบาท)
    (ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 10 ล้านปอนด์)

    เร็ดแน็ปป์ วัย 63 ปี เริ่มเข้าสู่อาชีพโค้ชตั้งแต่ปี 1976 และได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในกุนซือฝีมือดีของอังกฤษ และนั่นก็พิสูจน์ได้จากผลงานการคุมทั้งเวสต์แฮม, พอร์ทสมัธ รวมทั้งการช่วยให้ฉุดสเปอร์ส พ้นจากท้ายตารางในช่วงแรกที่เขาเข้ามาคุมทีมเมื่อเดือนต.ค. 2008 ก่อนที่จะพา "ไก่เดือยทอง" จบด้วยอันดับ 4 ในซีซั่นที่ผ่านมา และได้สิทธิ์ไปลุยเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีกในที่สุด

    ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล วันที่ : 10/14/2010 9:29:18 AM

    29 กันยายน 2553

    10 ปริศนาของโลก ที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้

    อันดับ 10 : กะโหลกแก้ว





    ปริศนาจากชาวมายัน กุญแจที่จะไขทุกคำตอบในโลกของเรา กะโหลกแก้วคริสตัลลึกลับ 5 ใน 13
    ทั้งหมดที่ถูกค้นพบ ถูกปลุกฟื้นตำนานเรื่องเล่า ความเป็นไปของมนุษย์จากอดีตกาลสู่ภพหน้า
    แหล่งบรรจุสรรพสิ่งดั่งคำทำนาย บัดนี้ยังคลุมเครือ
    ท่ามกลางความสงสัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการ และเทคโนโลยีในอดีต
    ไม่น่าเชื่อว่ากะโหลกแก้วจะสร้างขึ้นเองได้ หากเป็นความจริงอันชวนตะลึง!
    ดั่งคำสันนิษฐานจากกะโหลกแก้วที่ค้นพบ
    ข้อมูลในนั้นจะเป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างคนอดีตสู่คนยุคปัจจุบัน(ไปดูอินเดียน่าก็ได้มีเหมือนกัน)

    อันดับ 9 : ภาพลายเส้นนาซคา





    ลายเส้นพิศวงกับปริศนาจากภาพเหล่านี้ คือข้อกังขาของที่มาของเรื่องทั้งหมด
    รูปภาพสัตว์ขนาดใหญ่ สุนัข แมงมุม ปลาวาฬ ดอกไม้ ลิง เป็ด และนกกางปีก
    บนชายฝั่งทางใต้ของเปรู เป็นคำถามที่คนพื้นเมืองในอดีตสร้างขึ้นเพื่อผูกปมเรื่องให้ใคร่คิด
    บ้างเชื่อเรื่องทางเดินสู่แหล่งน้ำของชนเผ่าต่างๆ
    บ้างก็เชื่อมนุษย์ต่างดาวใช้สถานที่แห่งนี้ลงจอดยานบิน
    หรือมันอาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิทินดาราศาสตร์ที่ซับซ้อน
    แม้จะหาข้อสรุปไม่ได้ สมมติฐานทั้งหมดก็ช่วยให้เราสนใจภาพวาดเหล่านั้นยิ่งขึ้น




    อันดับ 8 : สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า





    ความลึกลับ อาถรรพณ์ และเรื่องจริงที่เกิดขึ้นยังคงกล่าวขานถึง
    สู่หายนะกับสถานที่แห่งนี้ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า มฤตยูกลางมหาสมุทรแอตแลนติก
    เหตุการณ์ที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้ ความจริงที่เครื่องบิน เรือ
    ที่ผ่านบริเวณสามเหลี่ยมมรณะถูกดูดกลืนสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย โดยไม่ทราบสาเหตุ
    ทั้งที่สภาพอากาศ และทุกอย่างเป็นปกติ ไม่มีข้อสรุป คำตอบ
    หรือข้ออ้างให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเพียงแต่ปริศนาที่ยังค้างคาใจผู้คนจนถึงปัจจุบัน




    อันดับ 7 : บพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์





    คำตอบกับการเปิดทางสู่โลกพระเจ้า การค้นคว้าทางศาสนาครั้งยิ่งใหญ่
    ปริศนาศิลาจารึกที่อยู่ข้างในบพระบัญญัติ คือ เครื่องมือติดต่อถึงพระเจ้าโดยตรง
    คำสอนศาสนา บทองคำ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ ที่องค์พระศาสดาตระหนักรู้
    อาจรอคอยช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการเปิดเผย แต่ยังไม่ใช่ในตอนนี้




    อันดับ 6 : โอเรกอน วอร์เท็กซ์





    พบกับสถานที่ที่ไม่ลึกลับแต่มันเป็นภาพลวงตาที่หาคำตอบไม่ได้
    แนวแม่เหล็กที่ไขว้กันอยู่ใต้พื้นดิน สนามพลังผิดปกติ
    เมื่อคุณเข้าไปยืนในนั้นจะรู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาด จุดที่แม่เหล็กไขว้ทับกัน
    คุณรู้สึกได้ถึงความกดดัน มันผลักกันและกัน และหมุนรอบๆจนคุณทนไม่ไหว
    การยืด หรือหดตัวอย่างน่าใจหาย ไม่นับสถานที่แห่งนี้ยังมี
    โรงนาปริศนา ที่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ตัวของคุณจะเอียง
    ลูกกอล์ฟกลิ้งขึ้นเนินเองได้ ไม้กวาดตั้งได้เอง จนคุณอยากออกจากประสบการณ์แปลกประหลาด
    เหล่านี้สู่โลกแห่งความจริงที่ทุกอย่างพิสูจน์ได้




    อันดับ 5 : นักฆ่ารัดคอแห่งบอสตัน





    คดีแห่งปริศนา ฆาตกรรมอำพราง เมื่อหลายปีก่อนถูกคลี่คลาย
    แต่เร็วๆนี้ถูกนำมาสอบสวนใหม่ ชนวนที่ฆาตกรที่จับได้จะใช่ฆาตกรตัวจริงหรือ?
    คดีที่โด่งดังไปทั่วอ่าวแบ็คเบย์ในบอสตัน นักฆ่าใจโหด ข่มขืนและฆ่ารัดคอผู้หญิง
    11 คนตายในบ้านตัวเอง คดีนี้ปิดฉากไปโดยตัวผู้รับสารภาพ อัลเบิร์ต เดอซาลโว
    แต่ต่อมาคดีฆาตกรรมปริศนาเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น
    เมื่อครอบครัวของหญิง 1 ในผู้ตายพบหลักฐานที่ส่อพิรุธ
    การรื้อคดีเป็นได้แค่การบังหน้าของตำรวจ ไม่มีความรับผิดชอบใดใดเพิ่มมากขึ้น
    เดอซาลโว จะใช่ฆาตกรตัวจริงหรือเปล่า หรือว่านักฆ่าจอมโหดผู้นี้ยังคงลอยนวลต่อไป
    จนบัดนี้มันยังคงเป็นปริศนา???




    อันดับ 4 : สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส





    บนโลกนี้มีเรื่องให้พิสูจน์อีกมาก อย่างที่เรากำลังจะพาไป
    เยี่ยมเยือนสัตว์ประหลาดแห่งทะเลสาบล็อกเนสในสก็อตแลนด์
    เรื่องเล่าที่โด่งดังเกี่ยวกับสัตว์รูปร่างประหลาด เนสซี่ ตัวใหญ่ประมาณ 15 – 40 ฟุต
    มักโผล่ขึ้นมาให้เห็นเป็นครั้งคราว หลายคนสนใจติดตามจับภาพสัตว์ประหลาดตัวนี้
    แล้วบางอย่างก็เป็นจริง มีภาพของวัตถุลึกลับเคลื่อนไหวอยู่ในทะเลสาบชื่อก้องนี้
    แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ ถึงอย่างไรคนหลายคนต่างเชื่อว่า เนสซี่
    สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส มีรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์ คอยาว มีครีบ
    นั้นมีอยู่จริง แต่เราจะได้เห็นหรือไม่คงต้องขึ้นอยู่กับตัวเนสซี่เอง




    อันดับ 3 : คร็อพเซอร์เคิล





    วงกลมประหลาด รูปร่างแปลกๆหลายรูป ที่ยังคงต้องการคำตอบ
    เหตุแห่งการเกิด ชาวเมืองเอฟเบอรี่คุ้นเคยกับมันดี
    วงขนาดใหญ่ ยาวกว่า 200 เมตร กว้างร่วม 40 เมตร เกิดกระจัดกระจายไปทั่วทุ่งนา
    นำความเสียหายปนความสงสัยให้กับเจ้าของที่นาบริเวณนั้นเป็นอย่างมาก
    มีทฤษฎีหลายทฤษฎีถูกตั้งขึ้นมาเพื่อตอบคำถามของคร็อพเซอร์เคิล มันอาจเป็นข้อความ
    หรือภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างมนุษย์ต่างดาว
    หรืออาจเป็นแค่วงกลมที่สร้างขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนใจแค่นั้นเองก็ได้




    อันดับ 2 : ยักษ์แห่งเกาะอีสเตอร์



    photo


    เดินทางมาสัมผัสเกาะปริศนาที่โดดเดี่ยว เวิ้งว้างกลางมหาสมุทร
    รูปสลักหินลึกลับขนาดมหึมากว่า 800 รูป เรียงรายเต็มฝั่งทั่วเกาะ
    ทั้งที่ไม่มีคนอยู่ รูปสลักนี้มาจากไหน? สร้างขึ้นได้อย่างไร?
    อาจเป็นชาวโพลีนีเชียนชนพื้นเมืองที่มาตั้งรกรากเมื่อ ค.ศ.400 เป็นผู้สร้างขึ้น
    แต่ทำไมถึงสร้าง และอยู่บริเวณนี้ได้อย่างไรยังคงเป็นปริศนาดำมืด ด้วยวิวัฒนาการ
    ความรู้ของคนในสมัยอดีต เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยกหินที่หนักกว่า 75
    ตันมาไว้ตามชายฝั่งได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
    ถึงกระนั้นรูปปั้นเหล่านี้ก็ยังคงถูกทิ้งไว้เพื่อค้นหาคำตอบต่อไป




    อันดับ 1 : แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์





    มันคงเป็นปริศนาต่อไป และน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะ ปริศนาอันดับ 1
    ที่ยังคงค้างคาใจเรา ฆาตกรต่อเนื่อง แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ อาชญากรระดับโลกที่ยังจับตัวไม่ได้
    การสังหารอย่างโหดมของเหยื่อหลายรายติดๆกันถูกกล่าวขานถึง
    ย่านอีสต์เอนด์ของลอนดอนสร้างชื่อกระฉ่อนถึงความน่าสะพรึงกลัว
    ไม่เพียงแต่ไร้วี่แววของฆาตกร การพิสูจน์ หรือทดสอบด้านนิติวิทยาศาสตร์ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร
    จึงไม่มีเหตุผล หรือหลักฐานหนักแน่นในการมัดฆาตกร
    จากคดีฆาตกรรมที่โด่งดังทำให้มีผู้ต้องสงสัยเกิดขึ้นมากมาย
    หลักฐานสำคัญต่างๆ ถูกผุดขึ้นมาภายหลัง
    จะเป็นไปได้มั้ยที่จะสืบสาวหาฆาตกรตัวจริงได้ แม้ฆาตกรคนนั้นคงไม่มีชีวิตอยู่ให้จับแล้ว
    แต่ก็ยังดีที่ได้รู้ว่าฆาตกรตัวจริงผู้นั้นคือใคร?