แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เก็บเรื่องมาเล่า แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เก็บเรื่องมาเล่า แสดงบทความทั้งหมด

09 สิงหาคม 2554

10 วิธี อัพเกรดตัวเอง

เราลองไปดูการอัพเกรดตัวเองให้ดูดีกันเลยดีกว่า
1. ลืมโชคชะตา
อย่าให้โชคชะตามาครอบงำชีวิตทั้งหมดของคุณ คุณต้องลิขิตชีวิตเองบ้าง อย่าทิ้งผลงานเก่าๆ ให้เก็บรวบรวมประวัติการทำงานที่ดีของเราและเจ้านายเอาไว้ เพราะคุณอาจจำเป็นต้องรื้อมาปัดฝุ่นใช้อีก
2. พูดให้ดังขึ้น อย่ารอให้เจ้านายเป็นฝ่ายสั่งงานหรือคาดหวังว่าเราต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ควรหมั่นถามไถ่ว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นใช่ที่เจ้านายต้องการหรือเปล่า
3. รักษาสัมพันธภาพ
อย่าพยายามทำตัวให้มีจุดเด่นเหนือคนอื่น การทำตัวกลมกลืนเหมือนๆ คนอื่น จะเป็นการสร้างสัมพันธภาพที่ดีในสถานที่ทำงานได้
4. ให้ความเชื่อใจ
เชื่อใจผู้ร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชา เปิดใจรับฟังทัศนคติจากเขา
5. รู้จักเรียนรู้
ความรู้พื้นฐานสมัยนี้เปลี่ยนแปลงเร็ว จงหมั่นศึกษาเรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ รอบตัว นอกจากเพื่อไม่ให้ตนตกยุคแล้ว ยังช่วยขยายโลกทัศน์ให้เราด้วย
6. หาที่ปรึกษา
แม้ไม่มีใครทำหน้าที่แทนเราได้ก็น่าจะจับคู่กับใครสักคนที่มีทักษะการทำงาน สอดคล้องกัน เอาไว้เป็นที่ปรึกษาและช่วยเหลือผ่อนหนักเป็นเบาในคราวจำเป็น
7. สร้างความสมดุลให้ตัวเอง
ต้องสร้างความสมดุลให้กับชีวิตทำงาน มีเวลาพักผ่อนเพียงพอ และรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ไม่ปล่อยให้งานมีอำนาจเหนือเรา
8. สนุกกับชีวิตหลังเลิกงาน
สรรหากิจกรรมให้กับตัวเองและเพื่อนร่วมงานหลังชั่วโมงทำงาน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน และบรรเทาความเหนื่อยล้าหลังการทำงาน อาจจะทานอาหารเย็นร่วมกัน หรือร่วมสังสรรค์ในโอกาสพิเศษต่างๆ
9. ควบคุมความเสียหาย
การทำงานอาจมีข้อบกพร่องได้ บางคนถึงกับถูกไล่ออก แต่อย่าเพิ่งสิ้นหวัง เก็บความผิดพลาดนั้นไว้เป็นบทเรียนดีกว่า
10. ทำในสิ่งที่ชอบ…ชอบในสิ่งที่ทำ
ถ้าเรารักสิ่งที่ทำ ผลงานย่อมออกมาดี แต่หากรู้สึกว่าไม่ชอบในสิ่งที่ทำเราก็จะไม่เต็มใจทำ ไม่ใส่ใจเท่าที่ควร ฉะนั้นคุณต้องเลือกงานให้เหมาะกับตัวเองมากที่สุด
ลองเอาไปทำดูนะครับ  ตัวคุณจะได้ดูดีตลอดเวลา..............
ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/11766.html

28 พฤศจิกายน 2553

5 ข้อไม่ควรปฏิบัติเกี่ยวกับการ"นอน" ข้อสุดท้ายถ้ายังฝืนทำ คุณอาจไม่ได้ตื่นตลอดกาล!



1.อย่านอนหลับไปพร้อมๆ กับนาฬิกาข้อมือ เพราะขณะที่นาฬิกาทำงานไปเรื่อยๆ นั้น ล้วนปล่อยพลังงานทั้งสิ้น เชื่อมั้ยว่าการใส่นาฬิกาข้อมือนอน จะมีผลต่อสุขภาพระยะยาวเลย

2.อย่าคุยโทรศัพท์มือถือจนหลับ รวม ถึงอย่าวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ๆ ตัวด้วย บางคนที่ชอบใช้มือถือเป็นนาฬิกาปลุกยามเช้า กรุณาเก็บมือถือของท่านไว้ให้ไกลตัวที่สุดเมื่อจะนอน ซะเถอะ ไปหาซื้อนาฬิกาปลุกถูกๆ ดีๆ เก๋ๆ มาใช้ดีกว่า เพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า โทรศัพท์ มือถือเครื่องจิ๋วเนี่ย จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาขณะเปิดเครื่องไว้ และ เจ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ มีผลกับระบบประสาทซะด้วยสิ เพราะฉะนั้น ตอนนอนก็ปิดโทรศัพท์มือถือซะดีกว่า พอปิดโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยแล้ว จะวางไว้ใกล้หรือไกลก็หายห่วง

3.อย่าหลับพร้อมๆ กับเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าขนาดไหน ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด เพราะการหลับทั้งๆ ที่เครื่องสำอางยังคาอยู่ที่ผิวหน้านั้น จะก่อให้เกิดปัญหาด้านผิวพรรณระยะยาว กลางคืนคือช่วงเวลาที่ผิวพรรณจะได้พักผ่อนบ้างนะค่ะ

4.อย่านอนหลับทั้งๆ ที่ยังใส่ยกทรง นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ค้นพบว่าการใส่ยกทรงนานเกิน 12 ชั่วโมง จะเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทรวงอกได้ ฉะนั้น ก็อย่าใส่ยกทรงนอนเลย ไม่ต้องกลัวเสียทรง ไม่ต้องกลัวอกแบะ ห่วงชีวิตไว้ก่อนดีกว่า

5.อย่านอนกับสามีหรือภรรยาของคนอื่น เพราะคุณอาจจะไม่ได้ตื่นอีกเลย . . . (อันนี้ขำๆ ค่ะ แต่ถ้าแฟนเขารู้คุณๆ อาจขำไม่ออกนะจ๊ะ)

22 ตุลาคม 2553

10 อันดับนักเตะผู้ดีค่าตัวแพงที่สุดตลอดกาล (ภาคสอง)

10 อันดับนักเตะผู้ดีค่าตัวแพงที่สุดตลอดกาล (ภาคสอง)
วันที่ 8/30/2010 1:05:47 AM

Advertisement

© AP Images
ผ่านไปแล้ว 5 คน มาติดตามสุดยอดแข้งแดนผู้ดีที่มีค่าตัวสูงสุดตลอดกาลอีก 5 คนที่เหลือกันต่อไปเลย


5) ฌอน ไรท์ ฟิลลิปส์
ตำแหน่ง : ปีกขวา/ซ้าย
จาก : แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ไป : เชลซี
ค่าตัว : 21 ล้านปอนด์
ย้ายเมื่อ : กรกฎาคม 2005
อายุตอนที่ย้ายทีม : 22
ลงเล่น : 124
ยิงได้ : 10 ประตู
จาก การที่ แมนฯ ซิตี้ สามารถดึงตัว ไรท์-ฟิลลิปส์ กลับมาจาก เชลซี เพียงแค่ราคา 9 ล้านปอนด์ แสดงให้เห็นถึงความจริงที่ว่า เขาสอบตกในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ อย่างสิ้นเชิง

แม้ว่าเขาจะได้ลงสนามให้กับ "สิงห์บลูส์" ถึง 124 นัด แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพียงแค่ตัวสำรองเสียมากกว่า และตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่ค้าแข้งอยู่ในลอนดอน เราก็มักจะพบเขาที่ม้านั่งข้างสนามเสียเป็นส่วนใหญ่
ระดับความสำเร็จ : 2 ดาว


4) โจลีออน เลสค็อตต์
ตำแหน่ง : เซนเตอร์ฮาล์ฟ/แบ็กซ้าย
จาก : เอฟเวอร์ตัน
ไป : แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ค่าตัว : 22 ล้านปอนด์
ย้ายเมื่อ : สิงหาคม 2009
อายุตอนที่ย้ายทีม : 27 ปี
ลงเล่น : 30 นัด
ยิงได้ : 2 ประตู
หลัง จากที่ แมนฯ ซิตี้ ตกถังข้าวสารได้ ชีค มานซูร์ เข้ามาเป็นเจ้าของสโมสร "เรือใบ" ก็สร้างความปั่นป่วนให้ตลาดนักเตะโดยการทุ่มเงินแบบไม่อั้น และ เลสค็อตต์ ก็เป็นหนึ่งในนักเตะคนแรกๆ ที่ ซิตี้ ทุ่มเงินแบบบ้าคลั่งซื้อตัวมาร่วมทีม

มาร์ค ฮิวจ์ส ดึงตัว เลสค็อตต์ มาร่วมถิ่น อีสต์แลนด์เมื่อปี 2009 และเมื่อปีที่ผ่านมาเขาก็มีโอกาสลงสนามไป 30 นัด โดยที่ไม่มีอะไรให้น่าประทับใจเลย ซึ่งค่าตัวที่ ซิตี้ ลงทุนไปตั้งแต่แรก หากคิดเป็นแบบจำนวนนัดแล้ว พวกเขาเสียค่าตัวให้กับ เลสค็อตต์ นัดละ 7.3 แสนบาทเลยทีเดียว
ระดับความสำเร็จ : 1 ดาว


3) เดวิด เบ็คแฮม
ตำแหน่ง : ปีกขวา/มิดฟิลด์ตัวกลาง
จาก : แมนฯ ยูไนเต็ด
ไป : เรอัล มาดริด
ค่าตัว : 25 ล้านปอนด์
ย้ายเมื่อ : กรกฎาคม 2003
อายุตอนที่ย้ายทีม : 27 ปี
ลงเล่น : 155 นัด
ยิงได้ : 20 ประตู
ประสบ ความสำเร็จมาเกือบแทบจะทุกรางวัลแล้วกับ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่เมื่อ เรอัล มาดริด มาเคาะประตูติดต่อ บวกกับโดนรองเท้าสตั๊ดบินเข้าใส่ที่ปลายคิ้ว ก็ถึงเวลาที่หนุ่มเบ๊คส์จะต้องอำลาถิ่นโอลด์แทร็ฟฟอร์ดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ ได้

เบ็คแฮม ได้รับประสบการณ์ทั้งดีและแย่ผสมผสานกันไปในถิ่นซานติอาโก้ เบนาเบว โดยเฉพาะในยุคของกุนซือ ฟาบิโอ คาเปลโล่ และแม้ว่าตลอดเวลาที่ค้าแข้งกับ "ราชันชุดขาว" เขาจะได้เพียงแค่แชมป์ลา ลีกา กับ ซูเปร์โกปา อย่างละครั้ง แต่เขาก็ถือเป็นนักเตะที่คุ้มค่ามากที่สุดคนหนึ่งในยุคกาลาคติกอส
ระดับความสำเร็จ : 4 ดาว


2) เวย์น รูนี่ย์
ตำแหน่ง : ศูนย์หน้า
จาก : เอฟเวอร์ตัน
ไป : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ค่าตัว : 25.6 ล้านปอนด์
ย้ายเมื่อ : สิงหาคม 2004
อายุตอนที่ย้ายทีม : 18 ปี
ลงเล่น : 284 นัด
ยิงได้ : 131 ประตู
เวย์ น รูนี่ย์ ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด นั่นอาจจะเพราะเขาได้เป็นตัวหลักของทีมตั้งแต่อายุยังน้อย มันไม่มีอะไรที่น่าแปลกใจเลยสำหรับจำนวน 131 ประตูที่เขาทำให้ทีมได้

ตั้งแต่ ย้ายมาร่วมทัพ ยูไนเต็ด "วัซซ่า" ค่อยๆพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นในทุกๆปี และเมื่อฤดูกาลที่แล้วเขาก็สามารถระเบิดฟอร์มอันแท้จริงด้วยการกดไปถึง 34 ประตู จากการลงสนาม 44 นัด ซึ่งก็เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าการลงทุนของ เฟอร์กี้ ในตอนนั้นถือว่าได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากเลยทีเดียวในปัจจุบัน
ระดับความสำเร็จ : 5 ดาว


1) ริโอ เฟอร์ดินานด์
ตำแหน่ง : เซนเตอร์ฮาล์ฟ
จาก : ลีดส์ ยูไนเต็ด
ไป : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ค่าตัว : 31.1 ล้านปอนด์
ย้ายเมื่อ : กรกฎาคม 2002
อายุตอนที่ย้ายทีม : 23 ปี
ลงเล่น : 331 นัด
ยิงได้ : 7 ประตู
นัก เตะผู้ซึ่งถูก ฟาบิโอ คาเปลโล่ เลือกให้เป็นกัปตันทีมชาติแทนที่ จอห์น เทอร์รี่ ก่อนที่เขาจะประสบปัญหาอาการบาดเจ็บส่งผลให้ชวดไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย

เฟอร์ดินานด์ เป็นนักเตะชาวอังกฤษที่มีค่าตัวแพงที่สุดตลอดกาล เขาประสบความสำเร็จคว้ารางวัลร่วมกับ แมนฯ ยูไนเต็ดมากมากมาย ประกอบไปด้วย พรัเมียร์ลีก 4 ครั้ง, ลีก คัพ 2 ครั้ง และอีกหนึ่งครั้งกับถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
ระดับความสำเร็จ : 5 ดาว

ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล วันที่ : 8/30/2010 1:07:19 AM

10 อันดับนักเตะผู้ดีค่าตัวแพงที่สุดตลอดกาล (ภาค1)

10 อันดับนักเตะผู้ดีค่าตัวแพงที่สุดตลอดกาล (ภาค1)
วันที่ 8/29/2010 7:09:06 PM



© AP Images
ซัมเมอร์นี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพิ่งจะคว้าตัว เจมส์ มิลเนอร์ มาร่วมทีมด้วยค่าตัวถึง 18 ล้านปอนด์ แต่อย่างไรก็ดี เขายังไม่ใช่นักเตะเลือดผู้ดีที่มีค่าตัวแพงที่สุด


ในทำเนียบ 10 อันดับนักเตะชาวอังกฤษที่มีค่าตัวแพงที่สุดตลอดกาล มีรายนามแข้งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีอย่าง เดวิด เบ็คแฮม ริโอ เฟอร์ดินานด์ เวย์น รูนีย์ ฯลฯ

แต่น่าเสียดาย อลัน เชียร์เรอร์ ตำนานดาวยิงทีมสิงโตคำรามที่ย้ายจาก แบล็คเบิร์น ไป นิวคาสเซิ่ล เมื่อปี 1996 ด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์ กลับไม่มีชื่อ เพราะโดนรุ่นน้องเบียดตกชาร์ทไปอย่างหวุดหวิด

ทั้ง 10 คนจะมีใครบ้าง ติดตามได้ดังต่อไปนี้

10) โอเว่น ฮาร์กรีฟส์
ตำแหน่ง : มิดฟิลด์ตัวกลาง
จาก : บาเยิร์น มิวนิค
ไป : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ค่าตัว : 17 ล้านปอนด์
ย้ายเมื่อ : พฤษภาคม 2007
อายุตอนที่ย้ายทีม : 26 ปี
ลงเล่น : 38 นัด
ยิงได้ : 2 ประตู

ถ้าจะกล่าวถึงนักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดของทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมัน คงจะไม่มีใครกล้าปฏิเสธชื่อของ โอเว่น ฮากรีฟส์ ตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่มิดฟิลด์รายนี้ค้าแข้งอยู่ในถิ่นโอล์ด แทร็ฟฟอร์ด ต้องประสบกับปัญหาอาการบาดเจ็บแบบไม่หยุดหย่อน ส่งผลให้อนาคตของแข้งวัย 26 ปี รายนี้เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่เขายังคงรอที่จะกลับมาเอาชนะใจ เฟอร์กี้ อีกครั้ง ถ้าสามารถสลัดอาการบาดเจ็บออกไปได้
ระดับความสำเร็จ : 2 ดาว

9) เกล็น จอห์นสัน
ตำแหน่ง : แบ็กขวา
จาก : พอร์ทสมัธ
ไป : ลิเวอร์พูล
ค่าตัว : 18 ล้านปอนด์
ย้ายเมื่อ : มิถุนายน 2009
อายุตอนที่ย้ายทีม : 24 ปี
ลงเล่น : 34 นัด
ยิงได้ : 3 ประตู
หลัง จากล้มเหลวกับ เชลซี แต่จอห์นสัน สามารถกลับมาแจ้งเกิดได้อีกครั้งกับ พอร์ทสมัธ ก่อนที่ ราฟาเอล เบนิเตซ บอสใหญ่ ลิเวอร์พูล ในตอนนั้น จะดึงเขามาร่วมถิ่นแอนฟิลด์
แบ็กทีมชาติอังกฤษเริ่มต้นฤดูกาลแรกกับ "หงส์แดง" ได้ไม่ดีเท่าที่ควร จุดบอดของเขาอยู่ที่เกมรับ แต่บางครั้งเขาก็ทำประโยชน์ให้ทีมได้มากเลยทีเดียวในเรื่องของเกมรุก ปัญหาก็คือฟอร์มของเขาไม่คงเส้นคงวาเท่าที่ควร และในฤดูกาลใหม่นี้ จอห์นสัน ก็หวังจะเรียกฟอร์มเก่งกลับมาเพื่อพิสูจน์ว่าเขามีดีพอกับ ลิเวอร์พูล
ระดับความสำเร็จ : 3 ดาว

8) ริโอ เฟอร์ดินานด์
ตำแหน่ง : เซนเตอร์ฮาล์ฟ
จาก : เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
ไป : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ค่าตัว : 18 ล้านปอนด์
ย้ายเมื่อ : พฤศจิกายน 2000
อายุตอนที่ย้ายทีม : 22 ปี
ลงเล่น : 73 นัด
ยิงได้ : 3 ประตู
เป็น นักเตะดาวรุ่งพุ่งแรงที่หลายคนคาดว่าจะมาเป็นตัวหลักให้ทีมชาติอังกฤษใน อนาคต ณ เวลานั้น และเป็น ลีดส์ ที่ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อคว้า เฟอร์ดินานด์ มาจากอ้อมอก เวสต์แฮมที่เอลแลนด์ โร้ด เฟอร์ดินานด์ โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นร่วมกับอีกหลายนักดาวรุ่งเตะอย่าง แฮร์รี่ คีเวลล์, ลี โบว์เยอร์, อลัน สมิธ, ไมเคิ่ล บริดเจส, เจสัน วิลค็อกซ์ ฯลฯ จนสามารถพา "ยูงทอง" ทะลุถึงรอบตัดเชือกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เลยทีเดียว ก่อนที่ทีมจะแพแตกเนื่องจากภาวะการเงินที่ย่ำแย่
ระดับความสำเร็จ : 4 ดาว


7) เจมส์ มิลเนอร์
ตำแหน่ง : ปีกขวา/ซ้าย/มิดฟิลด์ตัวกลาง
จาก : แอสตัน วิลล่า
ไป : แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ค่าตัว : 18 ล้านปอนด์ (บวก สตีเฟ่น ไอร์แลนด์)
ย้ายเมื่อ : สิงหาคม 2010
อายุตอนที่ย้ายทีม : 24 ปี
ลงเล่น : 1 นัด
ยิงได้ : 0 ประตู
เวลา เท่านั้นที่จะสามารถบอกได้ว่าอดีตแข้ง ลีดส์ และ นิวคาสเซิ่ล รายนี้ จะประสบความสำเร็จในถิ่นซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์ หรือไม่ แต่ถ้าหากดูจากความสามารถของเขาแล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
เงิน 18 ล้านปอนด์ บวก สตีเฟ่น ไอร์แลนด์ ทำให้มูลค่าที่แท้จริงของ มิลเนอร์ น่าจะสูงถึง 26 ล้านปอนด์ เลยทีเดียว แต่จากการที่ทีม "เรือใบ" มีเงินให้จับจ่ายใช้สอยมากมาย คงจะไม่เป็นกังวลกับเรื่องค่าตัวที่ดูสูงขนาดนี้มากนัก
โอกาสประสบความสำเร็จ : 4 ดาว

6)ไมเคิ่ล คาร์ริค
ตำแหน่ง : มิดฟิลด์ตัวกลาง
จาก : สเปอร์ส
ไป : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ค่าตัว : 18.6 ล้านปอนด์
ย้ายเมื่อ : กรกฎาคม 2006
อายุตอนที่ย้ายทีม : 25 ปี
ลงเล่น : 189 นัด
ยิงได้ : 17 ประตู
ถือ เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับ สเปอร์ส ที่ดึงตัว คาร์ริค มาจาก เวสต์แฮม ด้วยค่าตัวเพียง 2.7 ล้านปอนด์ แต่กลับสามารถขายให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ดสูงถึงเกือบ 20 ล้านปอนด์ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเป็นคำถามอยู่ว่า เขาโชว์ฟอร์มได้คุ้มกับค่าตัวที่ ยูไนเต็ด ลงทุนไปหรือยัง?
แต่แม้ว่าเขา จะยังถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับความคุ้มค่าของเงินที่ "ปีศาจแดง" ได้ทุ่มลงไปเพียงใด อย่างน้อยเขาก็ยังได้รับเสียงชื่นชมจากเหล่านักวิจารณ์มากกว่า ฮวน เซบาสเตียน เวรอน อยู่ดี
ระดับความสำเร็จ : 3 ดาว

ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล วันที่ : 8/29/2010 7:16:18 PM

ท็อป10 แข้งเศรษฐี

ท็อป10 แข้งเศรษฐี
วันที่ 10/8/2010 10:21:33 PM



© AP Images
หลังจากที่ได้ทราบ 10 สุดยอดมหาเศรษฐีเจ้าของทีมและผู้ถือหุ้นของสโมสรต่างๆ กันไปแล้ว วันนี้ก็มาถึงคิวของนักเตะที่รวยที่สุดจากรายงานของแม็กกาซีนลูกหนัง 4-4-2 กันบ้าง


10 นักเตะที่รวยที่สุด

(เฉพาะนักเตะสัญชาติสหราชอาณาจักรหรือที่มาเล่นในเกาะอังกฤษเท่านั้น)


1. เดวิด เบ็คแฮม (แอลเอ แกแล็คซี่ : 100 ล้านปอนด์ : 5,000 ล้านบาท)
(ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 125 ล้านปอนด์)

ถึงจะอยู่ในช่วงปลายการค้าแข้งแต่ชื่อของซูเปอร์สตาร์วัย 35 ปี ยังขายได้อยู่เสมอ และแม้ว่าทรัพย์สินจะลดลงจากปีที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด แต่ เบ็คแฮมและ วิคตอเรีย ศรีภรรยา ก็ยังเหลือกินเหลือใช้ไปอีกสิบชาติได้สบายๆ เพราะนอกจากค่าเหนื่อยก้อนโตที่เคยได้จากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เรอัล มาดริด และแอลเล แกแล็คซี่ ต้นสังกัดปัจจุบันแล้ว อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษ ยังมีรายรับมหาศาลจากการเป็นพรีเซนเตอร์ของสินค้าชั้นนำต่างๆ รวมถึงบริษัทน้ำหอมและแบรนด์แฟชั่นของทั้งตนเองและภรรยาด้วย

2. ไมเคิ่ล โอเว่น (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : 40 ล้านปอนด์ : 1,200 ล้านบาท)
(ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 38 ล้านปอนด์)

หลังจากที่ย้ายมาเล่นให้ "ปีศาจแดง" โอเว่น ก็ได้ค่าเหนื่อยแบบนัดต่อนัด ซึ่งต่างจากที่เคยได้ถึง 110,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (ราว 5.5 ล้านบาท) จากนิวคาสเซิ่ล อย่างไรก็ตาม อดีตดาวยิงทีมชาติอังกฤษ ก็ยังอยู่หัวแถวของนักเตะที่ล่ำซำที่สุดเนื่องจากอาศัยบุญเก่าที่เคยได้เงิน จำนวนมากจากสปอนเซอร์สมัยที่ยังรุ่งๆ กับลิเวอร์พูลและเรอัล มาดริด ไม่ว่าจะเป็นการเป็นพรีเซนเตอร์ของซีเรียลเนสท์เล่, นาฬิกา Tissot, รถจากัวร์, ผลิตภัณฑ์กีฬาอัมโบร และยังมีบริษัทโอเว่น โปรโมชั่นส์ ของตัวเองด้วย

3. ริโอ เฟอร์ดินานด์ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : 34 ล้านปอนด์ : 1,700 ล้านบาท)
(ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 30 ล้านปอนด์)

กองหลังตัวเก่งเจอปัญหาบาดเจ็บรบกวนอย่างต่อเนื่อง แต่โชคดีที่ เฟอร์ดินานด์ ยังมีรายรับสัปดาห์ละ 120,000 ปอนด์ (ราว 6 ล้านบาท) จากปีศาจแดงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งค่าเซ็นสัญญาเป็นหนึ่งในพรีเซนเตอร์ของรองเท้าสตั๊ดไนกี้ที่ทำเงิน ให้จำนวนมากโดยที่แทบไม่ต้องออกแรง ทว่า หลายคนอาจจะไม่เคยทราบมาก่อนว่าเซนเตอร์ฮาล์ฟรายนี้มีหุ้นในค่ายเพลงชื่อ ไวท์ ชอล์ค ถึง 60% ซึ่งเจ้าตัวหวังว่าจะกลายเจ้าของค่ายเพลงผู้ทรงอิทธิพลบ้าง แต่น่าเสียดายที่ธุรกิจนี้แป้กอย่างจัง

4. โซล แคมป์เบลล์ (นิวคาสเซิ่ล : 31 ล้านปอนด์ : 1,550 ล้านบาท)
(ไม่มีรายงานเมื่อปีที่ผ่านมา)

หลายคนอาจจะไม่เชื่อสายตาที่เห็นชื่อของเซนเตอร์ฮาล์ฟจอมเก๋าอยู่ใน อันดับที่ 4 แต่ด้วยความที่แคมป์เบลล์ ค้าแข้งอาชีพมานาน ทำให้เขายังมีเงินทองและทรัพย์สินอีกเป็นกองพะเนิน โดยล่าสุด เจ้าตัวเซ็นสัญญาร่วมทีมนิวคาสเซิ่ลเป็นเวลา 1 ฤดูกาล รายได้ของอดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษมาจากการได้ค่าเหนื่อยถึง 5 ล้านปอนด์ต่อปี (ราว 250 ล้านบาท) สมัยที่ย้ายจากท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ มาอยู่กับอาร์เซนอล แบบไม่มีค่าตัวตามกฎบอสแมนเมื่อปี 2001
เมื่อเดือน ม.ค. 2010 แคมป์เบลล์ ฟ้องร้องพอร์ทสมัธที่ไม่ยอมจ่ายค่าลิขสิทธิภาพลักษณ์และโบนัสอื่นๆ ให้กับเขาเป็นเงิน 1.7 ล้านปอนด์ (ราว 85 ล้านบาท) นอกจากส่วนของฟุตบอลแล้ว กองหลังรายนี้ยังมีบ้านราคากว่า 10 ล้านปอนด์ในกรุงลอนดอน และบริษัทส่วนตัวที่ชื่อโซล แมน จำกัดด้วย

5. ไรอัน กิ๊กส์ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : 27 ล้านปอนด์ : 1,350 ล้านบาท)
(ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 24 ล้านปอนด์)

ปีกพ่อมดของ "ปีศาจแดง" ลงเล่นให้ต้นสังกัดมาแล้วกว่า 800 นัดและมีสัญญาในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ไปจนจบฤดูกาลหน้า และนั่นก็จะทำให้ กิ๊กส์ อยู่กับทีมชุดใหญ่ของแมนฯ ยูฯ มากว่า 20 ปี และนั่นทำให้สโมสรตอบแทนความจงรักภักดีของเขาด้วยการให้ค่าเหนื่อย 4.2 ล้านปอนด์ต่อปี (ราว 210 ล้านบาท) นอกจากนั้น กิ๊กซี่ ยังเป็นพรีเซนเตอร์ให้รีบอคมาหลายปีดีดัก ในขณะที่ บริษัทไรอัน กิ๊กส์ จำกัดก็ทำให้รายได้ให้ดาวเตะทีมชาติเวลส์ไม่น้อยเช่นกัน

6. เวย์น รูนี่ย์ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : 25 ล้านปอนด์ : 1,250 ล้านบาท)
(ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 37 ล้านปอนด์)

ดูเหมือนว่า 2010 จะไม่ใช่ปีทองของรูนเท่าใดนัก เพราะนอกจากจะโชว์ฟอร์มไม่ออกในศึกฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้แล้ว หัวหอกทีมชาติอังกฤษ ยังเจอวิกฤติครอบครัวหลังถูกโสเภณีรายหนึ่งออกมาแฉผ่านสื่อจนเป็นข่าวครึก โครมไปทั่วโลกว่าสตาร์ "ปีศาจแดง" ซื้อบริการจากเธอนานหลายเดือนระหว่างที่ คอลีน ผู้เป็นภรรยากำลังตั้งครรภ์

เฉพาะการเป็นพรีเซนเตอร์ให้โคคา-โคล่า, บริษัทเกมอีเอ สปอร์ตส, ไนกี้และเมอร์เซเดส ก็ทำเงินให้รูนี่ย์ปีละ 6 ล้านปอนด์ (ราว 300 ล้านบาท) แล้ว นอกจากนั้น ยังได้ค่าเหนื่อยจากแมนฯ ยูฯ สัปดาห์ละ 100,000 ปอนด์ และกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาขอเพิ่มเป็น 130,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ด้วย

7. สตีเว่น เจอร์ราร์ด (ลิเวอร์พูล : 22 ล้านปอนด์ : 1,100 ล้านบาท)
(ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 20 ล้านปอนด์)

กัปตันทีมหงส์แดง มีรายรับ 6.5 ล้านปอนด์ต่อปีจากสโมสร ทั้งค่าเหนื่อยและโบนัสต่างๆ นอกจากนั้น การเซ็นสัญญากับอาดิดาสและลูคอเซด ยังทำเงินให้ เจอร์ราร์ด อีกปีละ 750,000 ปอนด์ด้วย ซึ่งนั้นทำให้เขามีรายได้รวมต่อปีราว 9 ล้านปอนด์ (ราว 450 ล้านบาท) จากการรายงานของฟอร์บส์ แม็กกาซีน

มิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษ ลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเมอร์ซีย์ไซด์และดูไบ รวมทั้งมีบริษัทเป็นของตัวเองที่ชื่อ สตีเว่น เจอร์ราร์ด โปรโมชั่นส์ ซึ่งทำให้เขามีรายได้เพิ่มขึ้นมาอีก 2 ล้านปอนด์จากปีที่แล้ว

7. แฟรงค์ แลมพาร์ด (เชลซี : 22 ล้านปอนด์ : 1,100 ล้านบาท)
(ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 21 ล้านปอนด์)

ในช่วงซัมเมอร์ปี 2008 กองกลางทีมสิงโตคำรามจรดปากกาสัญญากับเชลซีออกไปอีก 5 ปี คิดเป็นมูลค่า 33 ล้านปอนด์ (ราว 1,650 ล้านบาท) และยังได้รับค่าเหนื่อยสูงถึง 140,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (ราว 7 ล้านปอนด์) บวกกับอีก 1 ล้านปอนด์ต่อปีจากสปอนเซอร์อย่างอาดิดาส

แลมพาร์ด วัย 32 ปี มีบริษัทของตัวเอง 3 บริษัทซึ่งรวมถึงแฟรงค์ แลมพาร์ด โปรโมชั่นส์ ด้วย

9. จอห์น เทอร์รี่ (เชลซี : 19 ล้านปอนด์ : 950 ล้านบาท)
(ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 18 ล้านปอนด์)

กัปตันทีมสิงห์บลูส์ เจอปัญหาข่าวฉาวรุมเร้าหลังแอบนอกใจภรรยาไปกิ๊กกับอดีตแฟนเพื่อนอย่าง เวย์น บริดจ์ จนถึงขั้นทำให้โดนริบปลอกแขนกัปตันทีมชาติอังกฤษ อย่างไรก็ตาม เจที ยังเป็นที่รักของสาวกเชลซีหลังจากที่เขาปฏิเสธค่าเหนื่อย 250,000 ปอนด์ (ราว 12.5 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพื่ออยู่ในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ และรับค่าเหนื่อย 160,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์แทน
เทอร์รี่ ทำสัญญากับสโมสรไว้ว่าเมื่อเขาแขวนสตั๊ดจะได้รับการจัดเทสติโมเนียลแมตช์ และนั่นการันตีเงิน 2.5 ล้านปอนด์สำหรับเซนเตอร์ฮาล์ฟตัวเก่งด้วย


10. ปาทริค วิเอร่า (แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : 18 ล้านปอนด์ : 900 ล้านบาท)
(ไม่มีรายงานจากปีที่แล้ว)

ดาวเตะชาวฝรั่งเศส ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดในโลกสมัยที่เล่นให้อา ร์เซน่อล ก่อนที่จะย้ายไปหาประสบการณ์ในลีกกัลโช่ เซเรีย อา กับยูเวนตุสและอินเตอร์ ที่ซึ่งเขาได้ค่าเหนื่อยประมาณ 90,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (ราว 4.5 ล้านบาท) แต่การย้ายทีมครั้งล่าสุดมาเล่นให้ "เรือใบสีฟ้า" ทำเงินให้ "ปั๊ต" สูงถึง 140,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 6 เดือน




ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล วันที่ : 10/11/2010 10:23:02 PM

10 กุนซือที่รวยที่สุด

10 กุนซือที่รวยที่สุด
วันที่ 10/10/2010 3:16:51 PM

Advertisement

© AP Images
มาถึงบทสรุปไตรภาคของ Football Rich List ประจำฤดูกาล 2010-11 จากแม็กกาซีนลูกหนัง 4-4-2 กันแล้ว โดยหลังจากที่ได้นำเสนอเจ้าของและผู้ถือหุ้น รวมถึงนักเตะที่รวยที่สุดในเกาะอังกฤษกันไปแล้ว เราก็มาปิดท้ายกันที่ 10 กุนซือที่ล่ำซำที่สุด


1. ฟาบิโอ คาเปลโล่ (ทีมชาติอังกฤษ : 36 ล้านปอนด์ : 1,800 ล้านบาท)
(ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 30 ล้านปอนด์)


แม้ว่าจะทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังในศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้โค้ชชาวอิตาเลียน สูญเสียรายได้ 5 ล้านปอนด์ต่อปี (ราว 150 ล้านบาท) ในฐานะโค้ชทีมสิงโตคำรามแต่อย่างใด โดยก่อนที่จะมารับตำแหน่งนี้เมื่อเดือนธ.ค. 2007 คาเปลโล่ เคยพาสโมสรต่างๆ คว้าแชมป์ลีกสูงสุดมาแล้ว 7 ครั้งจาก 16 ฤดูกาลนับตั้งแต่เริ่มอาชีพกุนซือ

2. รอย คีน (อิปสวิช : 28 ล้านปอนด์ : 1,400 ล้านบาท)
(ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 27 ล้านปอนด์)

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การที่คีโน่ โผล่มาอยู่อันดับ 2 ก็เพราะทรัพย์สมบัติเก่าจากที่เคยค้าแข้งกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเขาเคยได้รับสัปดาห์ละ 90,000 ปอนด์ในฐานะนักเตะ และยังได้ค่าเซ็นสัญญาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับรองเท้าสตั๊ดเดียดอร่าอีก 500,000 ปอนด์ นอกจากนั้น หนังสืออัตชีวประวัติของเขายังเป็นหนึ่งในหนังสือที่ขายดีที่สุดด้วย (สำนักพิมพ์จ่ายเงินให้ล่วงหน้า 1 ล้านปอนด์)

หลังจากแขวนสตั๊ดที่เซลติกแล้ว อดีตกัปตันทีม "ปีศาจแดง" ก็หันไปจับงานโค้ชกับซันเดอร์แลนด์ ที่ซึ่งเขาเซ็นสัญญามูลค่า 6 ล้านปอนด์ต่อ 3 ปี และหลังจากที่ลาออกจากทีม "แมวดำ" ได้ 4 เดือน คีน ก็ได้เป็นกุนซือของอิปสวิช ซึ่งแม็กกาซีน 4-4-2 คาดว่าเขาได้ค่าเหนื่อยเท่ากับที่ได้จากซันเดอร์แลนด์

3. เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : 26 ล้านปอนด์ : 1,300 ล้านบาท)
(ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 22 ล้านปอนด์)


เฟอร์กี้ วัย 68 ปี เป็นกุนซือที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาลในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด และนั่นก็ทำให้สโมสรตอบแทนเขาด้วยสัญญามูลค่า 3.6 ล้านปอนด์ต่อปี (ราว 180 ล้านบาท) นอกจากนั้น โค้ชเลือดสกอตต์ ยังมีบริษัทเป็นของตัวเองที่ชื่อ เอเอฟซี สปอร์ตส โปรโมชั่นส์, เงินอีก 1 ล้านปอนด์จากการออกหนังสืออัตชีวประวัติ, ม้าแข่งราคาแพง และยังขาย toptable.com ซึ่งเว็ปไซต์จองโต๊ะร้านอาหารชื่อดังได้กำไรอีกเกือบ 4 ล้านปอนด์ (ราว 120 ล้านบาท) เมื่อเดือนก.ย. ที่ผ่านมาด้วย

4. คาร์โล อันเชล็อตติ (เชลซี : 21 ล้านปอนด์ : 1,050 ล้านบาท)
(ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 17 ล้านปอนด์)

อีกหนึ่งโค้ชชาวอิตาเลียนที่เข้ามาโกยเงินในอังกฤษ อันเชล็อตติ อำลามิลานเพื่อมาคุมเชลซีเมื่อเดือนมิ.ย. 2009 และเซ็นสัญญาในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นเวลา 3 ปี พร้อมรับค่าเหนื่อย 6.5 ล้านปอนด์ต่อปี (ราว 325 ล้านบาท) พร้อมกับโบนัส 1 ล้านปอนด์สำหรับแชมป์พรีเมียร์ลีก และอีก 1 ล้านปอนด์รออยู่หากว่าพาสิงห์บลูส์คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ

กุนซือวัย 51 ปี ประสบความสำเร็จตั้งแต่ปีแรกในเมืองผู้ดีหลังจากที่พาเชลซีคว้าดับเบิลแชมป์ ได้ในฤดูกาลที่ผ่านมา และอาจจะทำอันดับได้ดีกว่านี้ในปีหน้าหากว่าพาสโมสรคว้าเจ้ายุโรปได้สำเร็จ

5. อาร์แซน เวนเกอร์ (อาร์เซน่อล : 17 ล้านปอนด์ : 850 ล้านบาท)
(ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 15 ล้านปอนด์)

สัญญาฉบับปัจจุบันของโค้ชชาวฝรั่งเศสมีมูลค่า 4 ล้านปอนด์ต่อปี (ราว 200 ล้านบาท) หลังจากที่เริ่มต้นในถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ด้วยค่าเหนื่อยราว 2 ล้านปอนด์ต่อปี แต่หลังจากที่ช่วยพาอาร์เซน่อลประสบความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ลีกและบอล ถ้วยในประเทศ รวมถึงการได้เล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก อย่างต่อเนื่อง บอร์ดบริหารของเดอะ กันเนอร์ส ก็ต้องพยายามอย่างหนักที่จะรั้ง เวนเกอร์ ในวัย 61 ปี เอาไว้กับสโมสรให้ได้นานที่สุด

6. สเวน-โกรัน อีริคส์สัน (เลสเตอร์ ซิตี้ : 15 ล้านปอนด์ : 750 ล้านบาท)
(ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 15 ล้านปอนด์)

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า อีริคส์สัน เป็นหนึ่งในกุนซือจอมพเนจรที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก เพราะหลังจากจะเคยคุมทีมชาติอังกฤษ ซึ่งได้ค่าเหนื่อย 4 ล้านปอนด์ต่อปี (ราว 120 ล้านบาท) มาแล้ว โค้ชชาวสวีดิชวัย 62 ปี ยังทำเงินมากมายจากการเซ็นสัญญาคุมทีม นับตั้งแต่ โกเตนเบิร์ก, เบนฟิก้า, ซามพ์โดเรีย, ลาซิโอ, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ทีมชาติเม็กซิโก, น็อตต์ เคาน์ตี้, ทีมชาติไอวอรี่โคสต์ และ เลสเตอร์ เป็นทีมล่าสุด

7. โรแบร์โต้ มันชินี่ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : 15 ล้านปอนด์ : 750 ล้านบาท)

(ปีที่แล้วไม่ติดอันดับ)

แม้ว่าจะพาอินเตอร์ คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา มา 3 ปีซ้อน แต่เจ้าตัวก็ถูกเด้งจากเก้าอี้เมื่อจบฤดูกาล 2008 ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาได้ค่าเหนื่อยราว 5.5 ล้านปอนด์ต่อปี จากนั้น มันโช่ วัย 46 ปี ก็ได้เซ็นสัญญาคุมทีม "เรือใบสีฟ้า" แทน และนั่นทำเงินให้เขาถึง 6 ล้านปอนด์ต่อปี (ราว 300 ล้านบาท) โดยก่อนที่จะมาเป็นโค้ช มันชินี่ เคยเป็นนักเตะชื่อดังของซามพ์โดเรีย, ลาซิโอและทีมชาติอิตาลี มาก่อนด้วย

8. โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ (ทีมสำรองแมนฯ ยูไนเต็ด : 10 ล้านปอนด์ : 500 ล้านบาท)
(ปีที่แล้วไม่ติดอันดับ)

อดีตกองหน้าตัวสำรองจอมอดทนของ "ปีศาจแดง" ได้ผันตัวเองมาเป็นโค้ชทีมสำรองให้กับสโมสรอย่างเต็มตัวเมื่อเดือนพ.ค. 2008 โดย โซลชาร์ เป็นที่จดจำของแฟนบอลจากการพังประตูชัยในช่วงท้ายเกมของรอบชิงชนะเลิศแช มเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปี 1999 โดยในช่วงที่ยังรุ่งๆ (1993-1996) เขาได้รับค่าเหนื่อยราว 1.6 ล้านปอนด์ต่อปีโดยที่ยังไม่รวมรายรับจากสปอนเซอร์อื่นๆ และหลังจากที่แขวนสตั๊ดไปเมื่อปี 2007 เขาก็ได้บริจาคเงิน 2 ล้านปอนด์ (ราว 100 ล้านบาท) ที่ได้มาจากเกมเทสติโมเนียลแมตช์ของตัวเองให้กับการกุศลทั้งหมด

9. มาร์ค ฮิวจ์ (ฟูแล่ม : 10 ล้านปอนด์ : 500 ล้านบาท)
(ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 15 ล้านปอนด์)

ชื่อนี้ไม่เคยห่างหายไปจากวงการลูกหนังเมืองผู้ดีได้นาน เพราะเมื่อไหร่ที่มีการคาดเดารายชื่อกุนซือคนใหม่ของสโมสรต่างๆ ชื่อของ ฮิวจ์ วัย 46 ปี ก็มักจะโผล่ขึ้นมามีเอี่ยวด้วยเสมอ และหลังจากที่แยกทางกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ฮิวจ์ ก็ตัดสินใจเข้ามารับงานที่ฟูแล่ม แทนรอย ฮอดจ์สัน ที่ย้ายไปคุมลิเวอร์พูล

ฮิวจ์ สร้างชื่อจากการเป็นนักเตะของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อนที่จะชีพจรลงเท้าค้าแข้งกับอีกหลายสโมสรทั้งในและนอกเกาะอังกฤษ ก่อนจะหันเหอาชีพมาเป็นโค้ช และแม้ว่าการคุมแต่ละทีมของเขาจะอยู่ได้ไม่นาน แต่ ฮิวจ์ ก็ทำเงินได้มากโข โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าเหนื่อยปีละ 3 ล้านปอนด์จาก "เรือใบสีฟ้า" นอกจากนั้น เขายังมีบริษัทออกแบบและรับสร้างบ้าน รวมทั้ง โรงเรียนสอนฟุตบอลด้วย

10. แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ (ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ : 10 ล้านปอนด์ : 500 ล้านบาท)
(ทรัพย์สินรวมปีที่แล้ว 10 ล้านปอนด์)

เร็ดแน็ปป์ วัย 63 ปี เริ่มเข้าสู่อาชีพโค้ชตั้งแต่ปี 1976 และได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในกุนซือฝีมือดีของอังกฤษ และนั่นก็พิสูจน์ได้จากผลงานการคุมทั้งเวสต์แฮม, พอร์ทสมัธ รวมทั้งการช่วยให้ฉุดสเปอร์ส พ้นจากท้ายตารางในช่วงแรกที่เขาเข้ามาคุมทีมเมื่อเดือนต.ค. 2008 ก่อนที่จะพา "ไก่เดือยทอง" จบด้วยอันดับ 4 ในซีซั่นที่ผ่านมา และได้สิทธิ์ไปลุยเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีกในที่สุด

ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล วันที่ : 10/14/2010 9:29:18 AM

29 กันยายน 2553

10 ปริศนาของโลก ที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้

อันดับ 10 : กะโหลกแก้ว





ปริศนาจากชาวมายัน กุญแจที่จะไขทุกคำตอบในโลกของเรา กะโหลกแก้วคริสตัลลึกลับ 5 ใน 13
ทั้งหมดที่ถูกค้นพบ ถูกปลุกฟื้นตำนานเรื่องเล่า ความเป็นไปของมนุษย์จากอดีตกาลสู่ภพหน้า
แหล่งบรรจุสรรพสิ่งดั่งคำทำนาย บัดนี้ยังคลุมเครือ
ท่ามกลางความสงสัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการ และเทคโนโลยีในอดีต
ไม่น่าเชื่อว่ากะโหลกแก้วจะสร้างขึ้นเองได้ หากเป็นความจริงอันชวนตะลึง!
ดั่งคำสันนิษฐานจากกะโหลกแก้วที่ค้นพบ
ข้อมูลในนั้นจะเป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างคนอดีตสู่คนยุคปัจจุบัน(ไปดูอินเดียน่าก็ได้มีเหมือนกัน)

อันดับ 9 : ภาพลายเส้นนาซคา





ลายเส้นพิศวงกับปริศนาจากภาพเหล่านี้ คือข้อกังขาของที่มาของเรื่องทั้งหมด
รูปภาพสัตว์ขนาดใหญ่ สุนัข แมงมุม ปลาวาฬ ดอกไม้ ลิง เป็ด และนกกางปีก
บนชายฝั่งทางใต้ของเปรู เป็นคำถามที่คนพื้นเมืองในอดีตสร้างขึ้นเพื่อผูกปมเรื่องให้ใคร่คิด
บ้างเชื่อเรื่องทางเดินสู่แหล่งน้ำของชนเผ่าต่างๆ
บ้างก็เชื่อมนุษย์ต่างดาวใช้สถานที่แห่งนี้ลงจอดยานบิน
หรือมันอาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิทินดาราศาสตร์ที่ซับซ้อน
แม้จะหาข้อสรุปไม่ได้ สมมติฐานทั้งหมดก็ช่วยให้เราสนใจภาพวาดเหล่านั้นยิ่งขึ้น




อันดับ 8 : สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า





ความลึกลับ อาถรรพณ์ และเรื่องจริงที่เกิดขึ้นยังคงกล่าวขานถึง
สู่หายนะกับสถานที่แห่งนี้ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า มฤตยูกลางมหาสมุทรแอตแลนติก
เหตุการณ์ที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้ ความจริงที่เครื่องบิน เรือ
ที่ผ่านบริเวณสามเหลี่ยมมรณะถูกดูดกลืนสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย โดยไม่ทราบสาเหตุ
ทั้งที่สภาพอากาศ และทุกอย่างเป็นปกติ ไม่มีข้อสรุป คำตอบ
หรือข้ออ้างให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเพียงแต่ปริศนาที่ยังค้างคาใจผู้คนจนถึงปัจจุบัน




อันดับ 7 : บพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์





คำตอบกับการเปิดทางสู่โลกพระเจ้า การค้นคว้าทางศาสนาครั้งยิ่งใหญ่
ปริศนาศิลาจารึกที่อยู่ข้างในบพระบัญญัติ คือ เครื่องมือติดต่อถึงพระเจ้าโดยตรง
คำสอนศาสนา บทองคำ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ ที่องค์พระศาสดาตระหนักรู้
อาจรอคอยช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการเปิดเผย แต่ยังไม่ใช่ในตอนนี้




อันดับ 6 : โอเรกอน วอร์เท็กซ์





พบกับสถานที่ที่ไม่ลึกลับแต่มันเป็นภาพลวงตาที่หาคำตอบไม่ได้
แนวแม่เหล็กที่ไขว้กันอยู่ใต้พื้นดิน สนามพลังผิดปกติ
เมื่อคุณเข้าไปยืนในนั้นจะรู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาด จุดที่แม่เหล็กไขว้ทับกัน
คุณรู้สึกได้ถึงความกดดัน มันผลักกันและกัน และหมุนรอบๆจนคุณทนไม่ไหว
การยืด หรือหดตัวอย่างน่าใจหาย ไม่นับสถานที่แห่งนี้ยังมี
โรงนาปริศนา ที่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ตัวของคุณจะเอียง
ลูกกอล์ฟกลิ้งขึ้นเนินเองได้ ไม้กวาดตั้งได้เอง จนคุณอยากออกจากประสบการณ์แปลกประหลาด
เหล่านี้สู่โลกแห่งความจริงที่ทุกอย่างพิสูจน์ได้




อันดับ 5 : นักฆ่ารัดคอแห่งบอสตัน





คดีแห่งปริศนา ฆาตกรรมอำพราง เมื่อหลายปีก่อนถูกคลี่คลาย
แต่เร็วๆนี้ถูกนำมาสอบสวนใหม่ ชนวนที่ฆาตกรที่จับได้จะใช่ฆาตกรตัวจริงหรือ?
คดีที่โด่งดังไปทั่วอ่าวแบ็คเบย์ในบอสตัน นักฆ่าใจโหด ข่มขืนและฆ่ารัดคอผู้หญิง
11 คนตายในบ้านตัวเอง คดีนี้ปิดฉากไปโดยตัวผู้รับสารภาพ อัลเบิร์ต เดอซาลโว
แต่ต่อมาคดีฆาตกรรมปริศนาเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น
เมื่อครอบครัวของหญิง 1 ในผู้ตายพบหลักฐานที่ส่อพิรุธ
การรื้อคดีเป็นได้แค่การบังหน้าของตำรวจ ไม่มีความรับผิดชอบใดใดเพิ่มมากขึ้น
เดอซาลโว จะใช่ฆาตกรตัวจริงหรือเปล่า หรือว่านักฆ่าจอมโหดผู้นี้ยังคงลอยนวลต่อไป
จนบัดนี้มันยังคงเป็นปริศนา???




อันดับ 4 : สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส





บนโลกนี้มีเรื่องให้พิสูจน์อีกมาก อย่างที่เรากำลังจะพาไป
เยี่ยมเยือนสัตว์ประหลาดแห่งทะเลสาบล็อกเนสในสก็อตแลนด์
เรื่องเล่าที่โด่งดังเกี่ยวกับสัตว์รูปร่างประหลาด เนสซี่ ตัวใหญ่ประมาณ 15 – 40 ฟุต
มักโผล่ขึ้นมาให้เห็นเป็นครั้งคราว หลายคนสนใจติดตามจับภาพสัตว์ประหลาดตัวนี้
แล้วบางอย่างก็เป็นจริง มีภาพของวัตถุลึกลับเคลื่อนไหวอยู่ในทะเลสาบชื่อก้องนี้
แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ ถึงอย่างไรคนหลายคนต่างเชื่อว่า เนสซี่
สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส มีรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์ คอยาว มีครีบ
นั้นมีอยู่จริง แต่เราจะได้เห็นหรือไม่คงต้องขึ้นอยู่กับตัวเนสซี่เอง




อันดับ 3 : คร็อพเซอร์เคิล





วงกลมประหลาด รูปร่างแปลกๆหลายรูป ที่ยังคงต้องการคำตอบ
เหตุแห่งการเกิด ชาวเมืองเอฟเบอรี่คุ้นเคยกับมันดี
วงขนาดใหญ่ ยาวกว่า 200 เมตร กว้างร่วม 40 เมตร เกิดกระจัดกระจายไปทั่วทุ่งนา
นำความเสียหายปนความสงสัยให้กับเจ้าของที่นาบริเวณนั้นเป็นอย่างมาก
มีทฤษฎีหลายทฤษฎีถูกตั้งขึ้นมาเพื่อตอบคำถามของคร็อพเซอร์เคิล มันอาจเป็นข้อความ
หรือภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างมนุษย์ต่างดาว
หรืออาจเป็นแค่วงกลมที่สร้างขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนใจแค่นั้นเองก็ได้




อันดับ 2 : ยักษ์แห่งเกาะอีสเตอร์



photo


เดินทางมาสัมผัสเกาะปริศนาที่โดดเดี่ยว เวิ้งว้างกลางมหาสมุทร
รูปสลักหินลึกลับขนาดมหึมากว่า 800 รูป เรียงรายเต็มฝั่งทั่วเกาะ
ทั้งที่ไม่มีคนอยู่ รูปสลักนี้มาจากไหน? สร้างขึ้นได้อย่างไร?
อาจเป็นชาวโพลีนีเชียนชนพื้นเมืองที่มาตั้งรกรากเมื่อ ค.ศ.400 เป็นผู้สร้างขึ้น
แต่ทำไมถึงสร้าง และอยู่บริเวณนี้ได้อย่างไรยังคงเป็นปริศนาดำมืด ด้วยวิวัฒนาการ
ความรู้ของคนในสมัยอดีต เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยกหินที่หนักกว่า 75
ตันมาไว้ตามชายฝั่งได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
ถึงกระนั้นรูปปั้นเหล่านี้ก็ยังคงถูกทิ้งไว้เพื่อค้นหาคำตอบต่อไป




อันดับ 1 : แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์





มันคงเป็นปริศนาต่อไป และน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะ ปริศนาอันดับ 1
ที่ยังคงค้างคาใจเรา ฆาตกรต่อเนื่อง แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ อาชญากรระดับโลกที่ยังจับตัวไม่ได้
การสังหารอย่างโหดมของเหยื่อหลายรายติดๆกันถูกกล่าวขานถึง
ย่านอีสต์เอนด์ของลอนดอนสร้างชื่อกระฉ่อนถึงความน่าสะพรึงกลัว
ไม่เพียงแต่ไร้วี่แววของฆาตกร การพิสูจน์ หรือทดสอบด้านนิติวิทยาศาสตร์ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร
จึงไม่มีเหตุผล หรือหลักฐานหนักแน่นในการมัดฆาตกร
จากคดีฆาตกรรมที่โด่งดังทำให้มีผู้ต้องสงสัยเกิดขึ้นมากมาย
หลักฐานสำคัญต่างๆ ถูกผุดขึ้นมาภายหลัง
จะเป็นไปได้มั้ยที่จะสืบสาวหาฆาตกรตัวจริงได้ แม้ฆาตกรคนนั้นคงไม่มีชีวิตอยู่ให้จับแล้ว
แต่ก็ยังดีที่ได้รู้ว่าฆาตกรตัวจริงผู้นั้นคือใคร?


10 เหตุการณ์ ที่ทำให้เชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง

เหตุการณ์ที่1 เครื่องบินสีทอง

Image
จากจำนวนวัตถุลึกลับเกี่ยวกับจานบิน ชิ้นนี้ดังที่สุด ซึ่งถูกพบในโคลัมเบีย อเมริกาใต้ มีอายุมากกว่า 1000 ปี มีลักษณะเหมือนเครื่องบินเจ็ทปีกเป็นรูปสามเหลี่ยมของยุคปัจจุบัน มีที่นั่งนักบินอยู่ตรงส่วนหัวและมีหางเหมือนเครื่องบินปัจจุบันด้วย ซึงแน่นอนชาวพื้นเมืองในโคลัมเบียคงไม่สามารถสร้างเครื่องบินนี้แน่ โดยเฉพาะเมื่อ 1000 ปีก่อน

อาจเป็นไปได้ว่ามนุษย์ต่างดาวได้เดินทางมาถึงอเมริกาใต้ ในยานอวกาศใต้ ในยานอวกาศที่มีรูปร่างเหมือนเครื่องบินเจ็ทตั้งแต่เมื่อ 1000 ปีมาแล้ว และคงสร้างยานลำนี้ไว้เป็นที่ระลึก

เหตุการณ์ที่2 เด็กเขียว
Image
ในเดือนสิงหาคม 1887 ในสเปน มีเด็กสองคน ซึ่งมีผัวหนังสีเขียวเป็นมันวาว และมีดวงตารีเฉียง เดินออกมาจากถ้ำแห่งหนึ่ง เด็กสองคนนั้นสวมเสื้อผ้าที่ทำจากวัตถุประหลาด และพูดภาษาประหลาดที่ผู้วชาญภาษาจากบาร์เซโลนาไม่เข้าใจ และไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นภาษาอะไร เด็กชายที่เป็นผู้ชายตายก่อน ส่วนเด็กผู้หญิงยังอยู่ต่อมาและหัดพูดภาษาสเปนได้จนคล่องเธอเล่าว่าเธอถูกนำ มาจากดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งมีแต่ยามสนธยามีพระอาทิตย์ขึ้น และถูกหอบมาทิ้งไว้ที่ถ้ำนั่น

ดินแดนที่ว่านั้น เป็นดินแดนของดาวอีกดวงหนึ่งใช่หรือไม่ หรือว่าพวกเธอถูกส่งตัวมายังโลกด้วย ยาวอวกาศหรือเปล่า หรืออาจมาจากมิติที่สี่ก็เป็นได้

เหตุการณ์ที่ 3 การระเบิดที่ไซบีเรีย
Image
เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1908 มีการระเบิดอย่างรุนแรงเกิดขึ้นที่ไซบีเรีย เป็นแรงระเบิดที่รุนแรงกว่าฮิโรชิม่าถึง 10 เท่าดังไปค่อนโลก มีบางคนบอกว่า ตนเองได้เห็นแสงไฟและเห็นควันรูปเห็ด อย่างไรก็ตามผลสุดท้ายสาเหตุการระเบิด ไม่มีใครทราบแน่ชัด

ในปี 1927 นักวิทยาศาสตร์ชาวโซเวียต ได้ออกทำการสำรวจและพบบริเวณที่เกิดการระเบิดนั้น ซึ่งกินบริเวณกว้างขวางถึง 800 ตารางไมค์ จากการลงความเห็นของผู้วชาญ แรงระเบิดนั้น ไม่ใช้เพราะอุกาบาตรแน่ มีบางคนบอกว่ามันอาจเป็นดาวหาง อาจเป็นเสี่ยวหนึ่งของหลุมดำ หรืออาจเป็นแสงเลเซอร์จากดวงดาวอื่นก็ได้

อเล็กซานเดอร์ คาซานท์เซฟ วิศวกรด้านอาวุธของรัสเซียลงความเห็นว่า มันเป็นพวกยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว ซึ่งขณะบินทำการสำรวจโลก ตกลงมา และเกิดระเบิดขึ้น



เหตุการณ์ที่ 3 สัญญาณวิทยุจากมนุษย์ต่างดาว
Image
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 นักดาราศาสตร์โครงการ ซีคลอปส์ (Cyclops) ได้รับสัญญาณที่ซับซ้อนกว่าเสียงสะท้อนใดๆ ในโลกนี้ มันเป็นโทนเสียงขึ้นๆ ลงๆ ผสมผสานกันอย่างซับซ้อน พร้อมโครงสร้างจังหวะ รวมไปถึงเสียงที่ไม่เคยมีมนุษย์ได้ยินมาก่อนรวมอยู่ด้สน ซึ่งสัญญาณนี้ระบุว่ามาจากดาวออฟิยูซิ ซึ่งอยู่ห่างจากโลกราว 17 ปีแสง ทำให้เชื่อกันว่าเป็นสัญญาณวิทยุจากมนุษย์ต่างดาวซึ่งมีอารยธรรมสูงกว่าเรา



เหตุการณ์ที่ 4 เมื่อมนุษย์ต่างดาวเป็นฆาตกร

Image
วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2491 รัฐเคนตักกี้ อเมริกา เรืออากาศเอก โธมัส แมนเทลล์ จูเนียร์ ได้ขับเครื่องบินซี 118 แถวน่านฟ้าของเมืองแมรีส์วิลล์ เพื่อไปตรวจสอบการพบเห็น UFO ส่องแสงขนาดใหญ่ และเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ และเงียบเชียบข้ามท้องฟ้า ซึ่งทางฐานทัพก็จับสัญญามันได้เช่นกัน

แมนเทลล์ขับแล้วไปเจอ UFO ลำนั้นทันที เขารายงานวัตถุนั้นต่อศูนย์เป็นระยะในการติดตาม “พระเจ้า! มันน่ามหัศจรรย์ มันอยู่เหนือผมพอดี และมันใหญ่โตมโหฬารมาก มันดูเหมือนโลกหะรูปกลมใหญ่มาก ผมกำลังพยายามไปให้ถึงมัน มันกำลังบินสูง มันเริ่มบินสูง.... พระเจ้า! มันน่ามหัศจรรย์มาก! มันเริ่มร้อน มันร้อน ร้อนมากทีเดียว ผมทำไม่...”จากนั้นสัญญาณก็ถูกตัด

เวลาต่อมา มีการพบซากเครื่องบนและศพของเรืออากาศเอกแมนเทลล์ มีรายงานว่าซากเครื่องบินมีรูและรอยขีดข่วงจากความร้อนสูง เหมือนกับว่าเครื่องบินถูกทำลายจากรังสีบางอย่าง

ปัจจุบันการตายของแมนเทลล์ยังเป็นปริศนาต่อไป ว่าสิ่งที่เขาพบนั้นคือ UFO จริงหรือไม่?



เหตุการณ์ที่ 5 แอเรีย 51 (Area 51)
Image
พื้นที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในกลางทะเลทรายทางตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย เนวาด้า และอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี ปี 1958 เป็นพื้นที่ที่ลึกลับที่สุดเพราะเป็นเขตหวงห้ามไม่ให้คนนอกเข้าและมีการ รักษาความปลอดภัยสูงสุด แม้ทางการสหรัฐจะบอกว่าพื้นที่นี้เป็นเพียงสถานที่ทดสอบอาวุธหรือเครื่องบิน รบใหม่ของสหรัฐ แต่มีหลายคนบอกว่าอาจเป็นฐานทัพของมนุษย์ต่างดาวหรือไม่ก็สถานที่ติดต่อกับ มนุษย์ต่างดาว นั่นก็อาจจะเป็นเพราะมีคนจำนวนมาก อ้างว่าได้เห็นวัตถุบินลึกลับหรือ UFO (Unidentified Flying Object) บินอยู่เหนือบริเวณนั้นบ่อยครั้ง จนหลายคนสงสัยว่าบริเวณพื้นที่ 51 นั้นต้องมีอะไรมากกว่าสถานที่ซ้อมรบเครื่องบินรบ แน่นอน

เหตุการณ์ที่ 6 จานบินตกที่รอสเวลล์

Image
ในปี ค.ศ.1948 เมืองรอสเวลล์ เกิดเหตุการณ์วัตถุบินลึกลับตกในพื้นที่ทะเลทรายของชาวเมืองนาม แม็ค บราเซิล วัตถุชิ้นตกตกและชิ้นส่วนตกกระจัดกระจายเป็นวงกว้าง ไม่นานหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการก็มาถึงและเก็บวัตถุในพื้นที่ที่เกิด เหตุจนหมด ซึ่งผลจากการตรวจสอบตอนแรกบอกว่าวัตถุที่ตกลงมานั้นเป็นวัตถุที่ไม่เคยมี อยู่ในโลก และแต่ละชิ้นโลหะมีคุณสมบัติแปลกประหลาด แต่ถึงอย่างไรเพราะอะไรไม่ทราบสาเหตุภายหลังทางการดันกลับคำให้การบอกว่า วัตถุที่ตกลงมาเมืองรอสเวลล์นั้นคือหรือบอลลูนตรวจสภาพอากาศ?

ทำไมต้องกลับคำผลการตรวจสอบ?? แล้ววัตถุบินลึกลับนั้นเป็นจานบินหรือไม่? ไม่มีใครทราบได้ แม้ว่าเหตุการณ์จะล่วงเลยมานานหลายสิบปีแล้วก็ตามแต่หลายๆ ฝ่ายยังหวังว่าทางการสหรัฐจะเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้



เหตุการณ์ที่ 7 การลักพาตัวเบตตี้และบาร์นีย์ ฮิลลส์ (betty and Barney Hill)

Image
นี้คือการลักพาตัวที่โด่งดังที่สุดและเป็นครั้งแรกที่มนุษย์ต่างดาวลักพาตัวคนในโลก

19 กันยายน 1961 ขณะที่เบตตี้และบาร์นีย์ ฮิลลส์ สองสามีภรรยาขับรถผ่านแดนทะเลทรายของรัฐนิวแฮมเชียร์ จู่ๆ ก็มีจานบินแล่นขวางหน้า และบังคับให้สองสามีภรรยาคู่นี้หยุดรถ

สิ่งมีชีวิตในยานนั้นมีอยู่ 5 คน(ตัว) สูง 5 ฟุต ตาโต ไม่มีจมูก และผิวหนังสีเทา เมื่อคนพวกนี้มาใกล้ สองสามีภรรยาก็รู้สึกเหมือนสะกดจิต ทั้งคู่ถูกนำตัวเข้าไปในยานและถูกตรวจสอบทางกายภาพ มนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นสอบถามสองสามีภรรยาโดยใช้พลังจิต แต่เมื่อเขาพูดกันเองก็พูดด้วยภาษาแปลกประหลาด

จากนั้นสองสามีก็ถูกลบความทรงจำ และถูกปล่อยตัวออกมา ซึ่งภายหลังสองสามีภรรยาคู่นี้ถูกสะกดจิต ทั้งคู่ก็เล่าเหตุการณ์นี้อย่างละเอียด จนเป็นเรื่องน่าสนใจอย่างมาก จนต้องออกโทรทัศน์รายการพิเศษในปี 1975



เหตุการณ์ที่ 8 การชำแหละวัวในท้องทุ่ง (Cattle Mutilations)


9 มิถุนายน 2005 ได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดวัวตายอย่างลึกลับจำนวนมากในท้องทุ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาและบราซิลและแถบอื่นๆ ทั่วโลก

โดยการตายลึกลับนี้แทบไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของมนุษย์จะสามารถทำได้ เพราะแต่ละพื้นที่วัวถูกฆ่าจำนวนมากโดยทั้งหมดนั้นลงมือเสร็จเพียงคืนเดียว โดย ส่วนใหญ่ท้องของวัวเคราะห์ร้ายถูกเจาะเป็นรูขนาดใหญ่รูปไข่ ด้วยเครื่องมือบางอย่างและถูกทำให้ไหม้แต่ไม่ใช้เลเซอร์หรือมีด และไม่มีเลือดไหลออกมาอวัยวะบางส่วนเช่น อวัยวะเพศ ลูกตาและเต้านมโดยเฉพาะลำไส้มักหายไป แต่ไม่มีร่องรอยการดิ้นรนเพื่อหนีความตายของวัวหรือแม้กระทั่งรอยเท้าใน บริเวณที่มันตาย

มีการศึกษาเพื่อไขปริศนาปรากฏการณ์นี้มีมานานแล้ว ในขณะที่มนุษย์มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า แต่ทว่าก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่ามันเกิดจากอะไร

เหตุการณ์ที่ 9 วงกลมประหลาดบนทุ่งหญ้า (Crop Circles)
Image
ในช่วงปี 1980 เกิดเหตุการณ์ประหลาดคือประจักษ์ต่อชาวโลก ใน 29 ประเทศ ทั่วโลก คือเกิดวงกลมประหลาด หรือสัญลักษณ์ประหลาดที่ทุ่งข้าวสาลี ข้าวบาเล่ห์ ข้าว และอื่นๆ

โดยจากรายงานการเกิด Crop Circles กว่า 10,000 ครั้ง

พบว่าในช่วงปลายปี 1980 นั้น Crop Circles ส่วนใหญ่รูปแบบจะออกมาในลักษณะเส้นตรงซึ่งจะออกมาคล้ายๆกับสัญลักษณ์ แต่ภายหลังจากปี 1990 รูปแบบของ Crop Circles จะซับซ้อนมาก จนแทบไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของมนุษย์จะทำได้ นอกเสียจากจะเป็นมนุษย์ต่างดาว แล้วหาเป็นมนุษย์ต่างดาวจริง พวกเขาจะทำทำไม มันเป็นสัญญาบอกชาวโลกหรือ หรือว่าเป็นที่จอดยานบิน หรือว่าเป็นการเล่นสนุก??

เหตุการณ์ที่ 10 เทปวีดีโอผ่าตัดมนุษย์ต่างดาว
Image
ในปี 1992 ผู้สร้างภาพยนต์เรย์ ซานติลี อ้างว่าได้ซื้อฟิล์มภาพยนต์ขนาด 16 มิลลิเมตร มีความยาวกว่า 91 นาที(ไม่เปิดเผยถึงราคาที่ซื้อมา) เป็นฟิล์มภาพยนต์ที่เกี่ยวกับการผ่าตัดซากมนุษย์ต่างดาวหลังเหตุการณ์การตก ที่รอสเวลส์โดยซื้อมาจากช่างภาพของกองทัพ(ไม่เปิดเผยชื่อ)ที่ถูกมอบหมายให้ ทำการถ่ายภาพยนต์การผ่าศพมนุษย์ต่างดาวที่ Fort Worth, Texas เพื่อทำการถ่ายภาพยนต์

จนกระทั่งในปี 1995 ภาพยนต์ชุดนี้ได้ถูกนำมาออกแสดง และเครือข่ายทีวีของ FOX นำภาพยนต์ชุด นี้ออกอากาศในรายการ One-hour special ผลปรากฏว่ามีคนสนใจดูมากจนต้องมีการนำมาออกอากาศซ้ำอีกถึงสี่ครั้งหลังจาก นั้นทำให้มีการถ่ายถอดออกไปใน อังกฤษ , เยอรมัน , ฮอลล์แลนด์ , บราซิล และอิตาลี

05 กันยายน 2553

มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย 10 อันดับ

สำหรับมหาวิทยาลัยในประเทศไทยก็มีอยู่หลายมหาลัย แต่จะมีมหาลัยฯอะไรบ้างที่เข้าขั้นเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย มาดูกัน

อันดับ 10 สถาบันเทคโนโลยีพระ จอมเกล้า

24 เมษายน พ.ศ. 2514 แบ่งออกเป็น 3 วิทยาเขต คือ วิทยาเขตนนทบุรี วิทยาเขตพระนครเหนือ และวิทยาเขตธนบุรี ต่อมาได้ยกฐานะและแยกแต่ละวิทยาเขตเป็นสถาบันอุดมศึกษาอิสระต่อกัน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี


อันดับ 9 มหาวิทยาลัยรามคำแหง


"รู้จักอภัย ตั้งใจศึกษา บูชาพ่อขุน สนองคุณชาติ"

26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 "มหาวิทยาลัยรามคำแหง " ได้รับการสถาปนาเป็นสถาบันอุดมศึกษาแบบตลาดวิชา โดยมีคณะแรกตั้ง คือ คณะนิติศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ คณะมนุษยศาสตร์ และคณะศึกษาศาสตร์

อันดับ 8 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

"ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศจะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์"

12 มีนาคม พ.ศ. 2511 มีพระบรมราชโองการประกาศใช้พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยแห่งแรกในภาคใต้ของ ประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานชื่อมหาวิทยาลัยว่า " มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ " ตามพระนามฐานันดรศักดิ์ของสมเด็จพระบรมราชชนก กรมหลวงสงขลานครินทร์

อันดับ 7 มหาวิทยาลัยขอนแก่น


"วิทยา จริยา ปัญญา"

25 มกราคม พ.ศ. 2509 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ตราพระราชบัญญัติ สถาปนาสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ "มหาวิทยาลัยขอนแก่น " โดยมีคณะวิศวกรรมศาสตร์ และคณะเกษตรศาสตร์ เป็นคณะแรกตั้ง

อันดับ 6 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


"อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา" (บัณฑิตย่อมฝึกฝนตนเอง)

21 มกราคม พ.ศ. 2507 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติจัดตั้งมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาคแห่งแรกของประเทศไทย ได้แก่ " มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ " โดยมีคณะมนุษยศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์ เป็นคณะแรกตั้ง

อันดับ 5 มหาวิทยาลัยศิลปากร


"Arts longa vita brevis" (ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น)

12 ตุลาคม พ.ศ. 2486 "โรงเรียนปราณีตศิลปกรรม" ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น " มหาวิทยาลัยศิลปากร" โดยมีคณะจิตรกรรมและประติมากรรม เป็นคณะวิชาแรก (ปัจจุบันคือคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์)

อันดับ 4 มหาวิทยาลัยมหิดล

"อตฺตนนํ อุปมํ กเร" (พึงปฏิบัติต่อผู้อื่น เหมือนดังปฏิบัติต่อตนเอง)

7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 มีการแยกคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล, คณะทันตแพทยศาสตร์, คณะเภสัชศาสตร์ และ คณะสัตวแพทยศาสตร์ ออกจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาตั้งเป็น "มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์" ต่อมาได้รับพระราชทานนามมหาวิทยาลัยใหม่ ว่า " มหาวิทยาลัยมหิดล "


อันดับ 3 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

"ศาสตร์แห่งแผ่นดิน"

2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 "โรงเรียนช่างไหม" ได้รับการพัฒนาการเรียนการสอนจนสถาปนาขึ้นเป็น "มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ " เป็นมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนทางด้านการเกษตรแห่งแรกของไทย โดยมีคณะเกษตรศาสตร์ คณะการประมง คณะวนศาสตร์ และ คณะสหกรณ์ เป็นคณะแรกตั้ง ในปัจจุบันคือ คณะเกษตร คณะประมง คณะวนศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ และ คณะเศรษฐศาสตร์

อันดับ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

"เป็นเลิศ เป็นธรรม ร่วมนำสังคม"

27 มิถุนายน พ.ศ. 2477 ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ริเริ่มก่อตั้ง "มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มธก.)" ขึ้น เป็นมหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรกของประเทศไทย วิชาเริ่มแรกที่เปิดสอนมี 2 หลักสูตร คือ หลักสูตรธรรมศาสตรบัณฑิต ซึ่งสอนวิชากฎหมายเป็นหลัก และ วิชาการบัญชี ต่อมาถูกเปลี่ยนชื่อเป็น " มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์"

อันดับ 1 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

"เสาหลักของแผ่นดิน"

26 มีนาคม พ.ศ. 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา "โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" ขึ้นเป็น " จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย " มหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย โดยมี 4 คณะแรกตั้ง ได้แก่ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ( คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในปัจจุบัน) คณะวิศวกรรมศาสตร์ และ คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์

ที่มา : unigang






12 มิถุนายน 2553

“หลุมยุบ” ในกัวเตมาลา

3 ข้อสันนิษฐานเหตุ “หลุมยุบ” ในกัวเตมาลา
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์3 มิถุนายน 2553 09:53 น.

หลุมยุบในกัวเตมาลาซึ่ง เกิดตรงกลางสี่แยกพอดี นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบกลไกที่ชัดเจนในการเกิด แต่สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดชั้นหินปูน (ภาพประกอบทั้งหมดจากเอเอฟพี)

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ ขึ้น




หลาย คนที่เห็นภาพ “หลุมยุบ” กลางสี่แยกในกัวเตมาลา อาจไม่เชื่อสายตาตัวเอง และสงสัยว่าเป็นภาพตัดต่อหรือไม่ แต่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงและเคยเกิดขึ้นมาแล ้วเมื่อ 3 ปีก่อน โดยนักธรณีวิทยารั้วจามจุรีเผย 3 ข้อสันนิษฐานของปรากฏการณ์ แต่ให้น้ำหนักกรณีหลุมยุบ เนื่องจากชั้นใต้ดินเป็นหินปูนมากที่สุด

หลุมยุบที่เกิดขึ้นในกัวเตมาลาหลังพายุโซนร้อนอากาธา (Agatha) มีความกว้างถึง 18 เมตรและลึกประมาณ 30 เมตร ซึ่งเนชันนัลจีโอกราฟิกรายงานความเห็นของ เจมส์ เคอร์เรนส์ (James Currens) นักอุทกธรณีวิทยา จากมหาวิทยาลัยเคนตัคกี (University of Kentucky) สหรัฐฯ ว่า ยังไม่ทราบกลไกที่เป็นสาเหตุของการยุบตัวครั้งนี้ และเมื่อปี 2007 เคยเกิดเหตุแผ่นดินยุบตัวในบริเวณใกล้เคียงกัน

สำหรับเหตุการณ์ล่าสุดนี้ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ผู้จัดการออนไลน์ได้สอบถามไปยัง ผศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งตั้งข้อสันนิษฐานถึงการยุบตัวของแผ่นดินไว้ 3 กรณี ซึ่งมีกรณีฝนตกหนัก เนื่องจากพายุเป็นตัวกระตุ้นให้ดินยุบตัว โดยพายุครั้งนี้มีปริมาณน้ำฝนมาถึง 300 มิลลิลิตรต่อ 30 ชั่วโมง ขณะที่ปริมาณฝนปกติอยู่ที่ 100 มิลลิลิตรเท่านั้น

กรณีแรก อาจเกิดเนื่องจากชั้นหินปูนใต้ดินถูกน้ำเซาะ จนเกิดโพรงและดินด้านบนอุ้มน้ำปริมาณมากจนยุบตัวลง ซึ่งกรณีเช่นนี้พบได้ในหลายจังหวัดของไทย เช่น จ.กาญจนบุรี ที่มีภูเขาหินจำนวนมาก และมีถ้ำน้ำลอดซึ่งเกิดการหินปูนถูกน้ำเซาะ วันดีคืนดีฝนละลายหินปูนจนทำให้ชั้นดินที่ปกคลุมชั้น หินปูนถล่มลงไป หรือ จ.พัทลุงและสตูล ที่เกิดแผ่นดินยุบตัวหลังฝนตกหนัก

กรณี ที่สอง เกิดจากชั้นดินอ่อนหรือชั้นดินใหม่ มีชั้นทราย เมื่อฝนตกจึงเกิดการกระจุกตัวของน้ำฝนที่ซึมสู่ใต้ดิ นอย่างรวดเร็ว ทำให้ดินยุบตัว ซึ่งกรณีนี้เคยเกิดที่เมืองไทยบริเวณ ถ.สุขุมวิทของพัทยา เนื่องจากมีชั้นดินเป็นชั้นทราย และกรณีสุดท้ายคือ ชั้นใต้ดินมีชั้นเกลือ เมื่อชั้นเกลือละลายจะเกิดหลุมยุบ พบกรณีนี้แถวภาคอีสานของไทย เช่น จ.นครราชสีมา เป็นต้น

จากการสันนิษฐานเบื้องต้น ผศ.ดร.ธนวัฒน์กล่าวว่า กรณีดินยุบตัวที่กัวเตมาลาน่าจะเป็น 2 กรณีมากกว่า และไม่น่าจะเกิดจากชั้นเกลือใต้ดินถูกละลาย โดยดูจากสภาพธรณีคร่าวๆ และบริเวณที่เกิดยังมีภูเขาไฟระเบิดเยอะ บริเวณดังกล่าวจึงไม่น่าจะมีหินเกลือ (Rock salt) ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดพร้อมๆ กับหินทราย (Sand stone) ในยุคมีโซโซอิค (Mesozoic) แต่จะพบในจีน สหรัฐฯ หรือ จ.นครราชสีมาของไทยมากกว่า

อย่างไรก็ดี นักธรณีวิทยาของไทยให้น้ำหนักการเกิดดินยุบตัวครั้งน ี้กับข้อสันนิษฐานว่า เกิดจากชั้นหินปูนถูกละลายมากกว่า อีกทั้งบริเวณดังกล่าวยังเคยเกิดหลุมยุบมาแล้ว และจากการพิจารณาภาพหลุมยุบผ่านสื่อพบว่ามีชั้นดินปิ ดทับอยู่ประมาณ 10 เมตร และชั้นหินไม่เก่ามากซึ่งกำลังตรวจสอบว่าเป็นชั้นหิน ปูนหรือไม่ พร้อมๆ กับการค้นหาแผ่นที่ทางธรณีวิทยาซึ่งจะบอกได้ชัดเจนขึ ้นว่าเกิดการยุบตัวจาก ชั้นหินปูนหรือไม่ แต่การตรวจสอบที่ชัดเจนจริงๆ ต้องลงไปสำรวจยังพื้นที่เกิดเหตุ

สำหรับหลุมยุบที่เกิดขึ้นนี้ ผศ.ดร.ธนวัฒน์กล่าวว่า มีโอกาสขยายวงยุบตัวเพิ่ม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากธารน้ำใต้ดิน และการที่ฝนตกหนักจะยิ่งเสริมให้ดินยุบตัวได้มากขึ้น เนื่องจากชั้นดินอุ้มน้ำมากทำให้น้ำหนักเพิ่มและถล่ม ลง โดยส่วนใหญ่น้ำมักเป็นตัวเร่งให้เกิดหลุมยุบ และหลุมยุบทุกกรณีเกิดจากฝนตกหนัก ยกเว้นหลุมยุบจากการพุ่งชนของอุกกาบาตซึ่งเป็นหลุมยุ บอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ มีน้ำมาเกี่ยวข้อง ในกรณีของอุกกาบาตนั้นทำให้เกิดหลุมยุบที่สหรัฐฯ กว้างถึง 2 ตารางกิโลเมตร

ทั้งนี้ 80-90% ของหลุมยุบมักเกิดจากชั้นหินปูน โดยลักษณะของหลุมยุบมักเป็นวงกลมแต่ไม่แน่นอนเสมอไป และ ผศ.ดร.ธนวัฒน์ ระบุด้วยว่า การ สร้างสิ่งก่อสร้างใดๆ ควรต้องตรวจสอบด้วยว่า ตั้งอยู่บนพื้นดินที่มีชั้นหินปูนอยู่หรือไม่ ซึ่งเมืองไทยมีแผ่นที่ธรณีวิทยาที่ระบุว่าบริเวณใดบ้ างมีชั้นหินปูน สำหรับการตรวจสอบชั้นหินปูนนั้นทำได้ด้วยเทคนิคทางธร ณีฟิสิกส์ ด้วยการยิงกระแสไฟฟ้าลงดิน หากกระแสไฟฟ้าผ่านไม่ได้แสดงว่าชั้นใต้ดินมีโพลงอยู่


- พายุ "อกาธา"ถล่มอเมริกากลาง สังเวยแล้ว 132 ศพ


กระชับพื้นที่คืนความจริง “วันโลกหายนะ”

กระชับพื้นที่คืนความจริง “วันโลกหายนะ”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 พฤษภาคม 2553 00:59 น.

ภาพจำลองดวงอาทิตย์พ่นมวลมีประจุที่เกิดขึ้นบ่อยมายั งโลก ซึ่งมีเส้นสนามแมเหล็ก (เส้นสีน้ำเงิน) เป็นเกราะกำบัง (ESA)

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ภาพแสงเหนือจากลมสุริยะที่อลาสกา (John Russell/NASA)

ภาพจำลองสนามแม่เหล็กโลกซึ่งพุ่งจากขั้วโลกใต้ไปขั้ว โลกเหนือ (NASA)

ภาพโพรมิเนนซ์ขนาดใหญ่หรือก๊าซที่พวยพุ่งบนดวงอาทิตย ์ตรงขวาบนของภาพ (ESA)

(ซ้ายไปขวา) ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ และ ผศ.พงษ์ ทรงพงษ์ (จุฬาฯ)

ข่าว ลือเกี่ยวกับ “วันโลกหายนะ” เป็นอีกหนึ่งสีสันของจดหมายลูกโซ่ ที่วนเวียนอยู่บนโลกออนไลน์ วันดีคืนดีข่าวลือดังกล่าวมาปรากฏบนสื่อทีวีในช่วงเว ลา “ไพรม์ไทม์” ย่อมสร้างความตื่นตระหนกได้ในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคนในวงการวิทยาศาสตร์เอง คือผู้อ้างถึงข้อมูลวิทยาศาสตร์อย่างเป็นตุเป็นตะ

ตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับอีเมลลูกโซ่ เกี่ยวกับวันโลกหายนะเหมือนในภาพยนตร์เรื่อง 2012 อย่างต่อเนื่อง และมีการอ้างถึงข้อมูลวิทยาศาสตร์ เดิมเขาเชื่อว่ากระแสนี้จะซาไปแต่กลายเป็นว่ากระแสยั งคงมีอยู่ จึงตัดสินใจจัดเสวนาและแถลงข่าวชี้แจงเกี่ยวกับเรื่อ งดังกล่าว หลังเหตุการณ์บ้านเมืองเริ่มคลี่คลาย ในเวที “ตอบทุกคำถามสังคมไทยที่ กังวลต่อการล่มสลายของโ ลก” เมื่อวันที่ 25 พ.ค.53 ที่ผ่านมา ณ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ

- สนามแม่เหล็กกลับขั้ว-โลกพลิก

หนึ่งในประเด็นการล่มสลายของโลกคือการกลับขั้วของสนา มแม่เหล็กโลกใน วันที่ 22 ธ.ค.55 จากเหนือไปใต้ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ดวงอาทิตย์กลับขั้ว เกิดสนามแม่เหล็กและความร้อนบนโลก ทำให้น้ำแข็งละลาย น้ำท่วมโลก เกิดสึนามิ โลกจะเอียงจาก 23.5 องศาไปเป็น 26 องศา แล้วพลิกกลับจากเหนือไปใต้

คำถามคือจริงหรือไม่ที่แม่เหล็กโลกจะกลับ ขั้ว?

ดร.สธนกล่าวว่า ปรากฏการณ์แม่เหล็กโลกกลับขั้ว เคยเกิดขึ้นบนโลกมาแล้วหลายครั้ง แต่ละครั้งเว้นช่วงประมาณ 1 ล้านปี ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อ 700,000 ปีที่แล้ว ซึ่งเริ่มมีมนุษย์กำเนิดขึ้นบนโลกแล้ว และระหว่างการกลับขั้วช่วง 1 ล้านปีนั้น อาจมีการกลับขั้วในช่วงสั้นประมาณ 4-5 พันปี

การกลับขั้วแม่เหล็กโลกนี้ ไม่ได้หมายถึงโลกพลิกกลับจากเหนือไปใต้ แต่หมายถึงสนามแม่เหล็กอ่อนกำลังลง แล้วเกิดสนามแม่เหล็กที่ยุ่งเหยิงขึ้น ก่อนกลับสู่สภาพปกติ ซึ่งระหว่างที่แม่เหล็กอ่อนลงนั้น จะมีรังสีคอสมิคเข้ามาแต่ไม่มากมายนัก

“ส่งผลกระทบไหม มีผลกระทบบ้างถ้าเรายังใช้เข็มทิศอยู่ แต่เดี๋ยวนี้เราใช้จีพีเอส (GPS) กันเยอะ ผลกระทบอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ และช่วงเวลาระหว่างการพลิกขั้วเกิดขึ้นช้า เป็นระยะเวลาพันปี แสนปีขึ้นไป"

"ปัจจุบันความแรงสนามแม่เหล็กขึ้นๆ ลงๆ เมื่อ 700,000 ปีก่อน สนามแม่เหล็กโลกเคยอ่อนกว่านี้ด้วยซ้ำ ดังนั้นการกลับขั้วแม่เหล็กโลกไม่ใช่ประเด็นที่ก่อให ้เกิดปัญหา โดยหลักฐานการกลับขั้วคือหินแข็งที่มีสภาพแม่เหล็กตา มแม่เหล็กโลก ซึ่งเกิดจากหินร้อนๆ ในโลกออกมาเจอสภาพแม่เหล็กภายนอกแล้วแข็งตัว” ดร.สธนกล่าว

ขั้วแม่เหล็กโลกนั้น เกิดจากการไหลของกระแสโลหะหลอมเหลวในแกนกลางโลก ทำให้เกิดสนามแม่เหล็กเหมือนไดนาโมที่ใช้ขดลวดพันรอบ แกนแม่เหล็ก โดยสนามแม่เหล็กจะพุ่งจากขั้วใต้ไปขั้วเหนือ ดังนั้นขั้วโลกเหนือจึงเป็นขั้วแม่เหล็กใต้ และขั้วโลกใต้จึงเป็นขั้วแม่เหล็กเหนือ

แต่การไหลของกระแสโลหะหลอมเหลวในแกนกลางโลกไม่สม่ำเส มอ ตำแหน่งขั้วแม่เหล็กจึงไม่คงที่ และเป็นบริเวณกว้าง เช่น ปี 1904 ขั้วแม่เหล็กเหนืออยู่เป็นบริเวณหนึ่ง และปี 1996 ขั้วแม่เหล็กเหนืออยู่อีกบริเวณ เป็นต้น

- ดาวเคราะห์เรียงตัวทำแผ่นดินไหวบนโลก

การเรียงตัวของดาวเคราะห์ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ถูกโยงว่าทำให้เกิดแผ่นดินไหวบ นโลก เนื่องจากมีแรงไทด์ (tide) กระทำต่อโลก

หากแต่ ดร.สธนอธิบายว่าแรงไทด์คือ "แรงน้ำขึ้นน้ำลง" (tidal force) นั่นเอง เป็นแรงเสมือนว่าดึงโลกให้ยืดออก และดวงจันทร์มีบทบาทให้เกิดแรงนี้กระทำต่อโลกมากที่ส ุด และด้านที่อยู่ใกล้ดวงจันทร์มากที่สุดจะถูกดึงมากกว่ า โดยแรงนี้มีอธิบายด้วยสมการที่มีตัวแปรเพียง 2 ตัวคือ ระยะห่างระหว่างวัตถุที่ดึง และมวลของวัตถุที่ดึง

“แรงน้ำขึ้นน้ำลง น้อยกว่าแรงดึงดูดของโลกถึง 10 ล้านเท่า แรงที่สุดของแรงนี้คือ ทำให้ของเหลวบนโลกเคลื่อนที่ หรือเกิดน้ำขึ้นน้ำลง แต่ยังน้อยเกินกว่าจะมีผลต่อโครงสร้างหรือแผ่นทวีป 10 ล้านเท่า"

"ดวงอาทิตย์ซึ่งใหญ่กว่าดวงจันทร์มากแต่อยู่ห่างโลกมา กกว่า จึงมีแรงนี้น้อยกว่าดวงจันทร์ประมาณครึ่งหนึ่ง หากดวงจันทร์และดวงอาทิตย์มาซ้อนกัน ผลคือทำให้เกิดน้ำขึ้นสูงในวันขึ้น 15 ค่ำและแรม 15 ค่ำเท่านั้นเอง” ดร.สธนกล่าว

นอกจากนี้ ผลการเปรียบเทียบตำแหน่งการเรียงตัวของดาวเคราะห์ในร ะบบสุริยะกับการเกิด แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ 10 อันดับ ซึ่งเกิดที่เกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.47 เป็นแผ่นดินไหวใหญ่อันดับ 3 และครั้งรุนแรงสุดเกิดขึ้นที่ชิลี เมื่อ 22 พ.ค.03 นั้น ไม่มีครั้งใดเลยที่ดาวเคราะห์เรียงตัวกัน โดยพิจารณาเฉพาะดาวพุธ ดาวศุกร์ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และโลก ส่วนดาวเคราะห์วงนอกนั้น ดร.สธนกล่าวว่าตัดออกได้ เพราะอยู่ไกลมาก

“เรียง หรือไม่เรียงไม่สำคัญ เพราะแรงไม่ถึงอยู่แล้ว คำอ้างในข่าวในฟอร์เวิร์ดเมล เป็นคำอ้างที่ไม่มีหลักฐาน การอ้างงานวิจัยก็มีความเข้าใจที่ไม่ตรง บทความยังไม่มีชื่อผู้เขียนและเป็นการคาดเดาไว้ก่อน” ดร.สธนวิจารณ์คำทำนายเรื่องโลกล่มสลาย ที่อ้างถึงผลการศึกษาของทีมนักวิจัยอิตาลี

ทั้งนี้ งานวิจัยดังกล่าวมีอยู่จริง แต่รายละเอียดระบุว่า มีความแปรปรวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ก่อนเกิดแผ่นดินไหวเล็กน้อย ซึ่งคาดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของโลกเอง ไม่ใช่พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าขนาดใหญ่ จนสามารถจุดฉนวนแผ่นดินไหวอย่างที่กล่าวอ้าง

-Solar Maximum คำที่ถูกอ้างวันโลกสลาย


ความวิตกว่า โลกถึงคราวหายนะนั้น มักเชื่อมโยงการเข้าสู่ช่วง "โซ ลาร์ แม็กซิมัม" (Solar Maximum) ของดวงอาทิตย์ ซึ่ง ผศ.พงษ์ ทรงพงษ์ อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งร่วมเวทีเสวนาอธิบายว่า ช่วงดังกล่าว ดวงอาทิตย์มีกิจกรรม*เกิด ขึ้นมาก และมีการกลับขั้วสนามแม่เหล็ก เกิดขึ้นสลับกับ "โซลาร์ มินิมัม" (Solar Minimum) ที่ดวงอาทิตย์มีกิจกรรมน้อย โดยมีระยะเวลาสลับกันประมาณ 11 ปี

กิจกรรม ต่างๆ บนดวงอาทิตย์นั้น เกิดจากสนามแม่เหล็กเนื่องจากการไหลวนของก๊าซร้อนบนด วงอาทิตย์ ครั้งล่าสุดที่เกิด Solar Maximum คือเมื่อปี 2544 ส่วนตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วง Solar Minimum"

"ครั้งแรกที่เราเริ่มนับจุดมืดบนดวงอาทิตย์คือเมื่อปี 2323 ซึ่งพบว่าการเกิดจุดมืดมากสลับกับไม่มีเลยนั้นเป็นช่ วงๆ ชัดเจน ตอนนี้เราอยู่วัฏจักรสุริยะรอบที่ 23 และกำลังสู่รอบที่ 24 ในปี 2555 (หรือ 2012) ซึ่งจะเริ่มช่วง Solar Maximum รอบใหม่ แต่เราก็ตรวจดูสนามแม่เหล็กบนดวงอาทิตย์ทุกวันว่า เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง” ผศ.พงษ์กล่าว

เมื่อเข้าสู่ Solar Maximum สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ มีกิจกรรมบนดวงอาทิตย์มากขึ้น สนามแม่เหล็กมีการเปลี่ยนแปลง เพราะดวงอาทิตย์ส่งอนุภาคมีประจุมาเยอะขึ้น มีการพ่นมวลมีประจุมายังโลก ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เราสังเกตได้ เช่น ปรากฏการณ์แสงเหนือ-แสงใต้ ซึ่งเห็นได้ที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ แต่ปี 2501 มีรายงานพบแสงเหนือ-แสงใต้ที่เม็กซิโก ซึ่งอยู่ต่ำจากขั้วโลกเหนือลงมาอยู่ที่ละติจูด 30 องศาเหนือ

เมื่อปี 2532 กิจกรรมบนดวงอาทิตย์ ได้ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าในระบบส่งไฟฟ้าของแคนาดา จนหม้อแปลงไหม้และเกิดไฟดับ แต่ในปี 2544 ไม่เกิดเหตุไฟดับเนื่องจากทราบว่าจะเกิดขึ้นและได้เต รียมการรับมือไว้

- ซากดาวส่องตรงรังสีแกมมาเผาโลกเป็นจุณ

การระเบิดของรังสีแกมมา (Gamma Ray Burst: GRB) เป็นปรากฏการณ์ส่งรังสีแกมมาจากซากของดวงดาวที่กำลัง ดับสูญ และเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับดวงดาว ซึ่งมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 10 เท่าขึ้นไป โดยปกติดาวฤกษ์มีปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันเป็นแหล่ง พลังงาน ซึ่งจะหลอมรวมธาตุเล็กให้กลายเป็นธาตุใหญ่ และให้พลังงานออกมา เสมือนมีแรงระเบิดนิวเคลียร์อยู่ภายในดวงดาว

ขณะเดียวกันดาวฤกษ์ยังมีแรงโน้มถ่วงดึงมวลกลับมาอยู่ รวมกัน จึงเปรียบได้กับการชักเย่อระหว่างแรงระเบิดกับแรงโน้ มถ่วง เมื่อธาตุตั้งต้นหมดลงการระเบิดก็น้อยลง ทำให้แรงโน้มถ่วงชนะและเริ่มดึงให้ดาวยุบลง

อย่างไรก็ดี การยุบตัวของดาวนั้น มีปลายทางที่แตกต่างกัน ดาวบางดวงยุบตัวอย่างเงียบสงบและหมดพลังงานไป บางดวงเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ขึ้นอีกเนื่องจากแรงโน ้มถ่วงทำให้เกิดการหลอม รวมของธาตุครั้งใหม่

บางดวงเกิดระเบิดอย่างรุนแรงเรียกว่า “โนวา” (nova) หรือ “ซูเปอร์โนวา” (supernova) กลายเป็นเนบิวลาและเกิดการรวมตัวของก๊าซกลายเป็นดาวอ ีกรอบ บางดวงยุบตัวอย่างรวดเร็วและกลายเป็นหลุมดำ แต่บางครั้งเกิดการยุบตัวและเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ ที่รุนแรงพร้อมๆ กัน ทำให้เกิดรังสีแกมมาความเข้มสูงส่งออกมาในทิศทางที่แ น่นอนและเป็นลำแคบๆ หรือเรียกว่าการระเบิดของรังสีแกมมานั่นเอง

ถ้า ส่องมายังโลก ก็ตายหมดทั้งโลก การระเบิดของรังสีแกมมาการระเบิดของรังสีแกมมานี้ น่ากลัวมาก แต่ต้องกลัวไหม ไม่ต้องกลัว เพราะถ้าเกิดขึ้นก็รวดเร็วมากจนเราไม่ทันได้รู้สึก เนื่องจากรังสีเดินทางด้วยความเร็วแสง" ผศ.พงษ์กล่าว

อย่างไรก็ดี ผศ.พงษ์กล่าวเผยว่า โอกาสดังกล่าว เกิดขึ้นน้อยมาก เพราะอย่างแรกต้องเกิดใกล้ๆ เรา ประมาณกาแลกซีถัดไป และต้องหันมาทางเราพอดี ซึ่งดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้เราที่สุดคือดาวพรอกซิมา (Proxima) อยู่ไกลออกไป 4.2 ปีแสง แต่มีขนาดเพียง 1 ใน 10 ของดวงอาทิตย์ เมื่อดาวดวงนี้ดับ จะไม่เกิดระเบิดรังสีแกมมาแน่นอน แต่ถ้าถึงวันหนึ่งเราจะต้องไป เราก็ต้องไป.




*กิจกรรมสุริยะ
(solar activities) คือปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนดวงอาทิตย์ ได้แก่

- การลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ (solar flare) เป็นการปะทุของก๊าซร้อนภายในดวงอาทิตย์เมื่อมีช่องโห ว่ที่ผิวดวงอาทิตย์ ทำให้ก๊าซร้อนกว่า 20,000 องศาเซลเซียสปะทุออกมาที่ดวงอาทิตย์ซึ่งปกติมีอุณหภู มิประมาณ 6,000 องศาเซลเซียส เห็นเป็นแสงเจิดจ้าที่ผิวดวงอาทิตย์

- โพรมิเนนซ์ (prominence) เป็นพวยก๊าซที่พุ่งออกมา แล้วพุ่งกลับเหมือนมีท่อเป็นทางเดิน ซึ่งท่อดังกล่าวจริงๆ แล้ว คือสนามแม่เหล็กที่บังคับให้พวยก๊าซพุ่งกลับสู่ดวงอา ทิตย์ ขนาดของพวยก๊าซใหญ่กว่าโลกและดวงจันทร์

- ลมสุริยะ (solar wind) เป็นอนุภาคมีประจุที่ส่งมาจากดวงอาทิตย์พร้อมสนามแม่ เหล็กระยะสั้น หรือเรียกว่าพายุสุริยะเมื่อมีความรุนแรงกว่าและอนุภ าคถูกส่งพุ่งออกไปทั่วๆ การพ่นมวลจากดวงอาทิตย์ (coronal mass ejection: CME) เป็นอนุภาคของดวงอาทิตย์ที่พุ่งออกมาเป็นลำ ด้วยความเร็วสูงและมีทิศทางค่อนข้างแคบ เมื่อพุ่งมาแต่ละครั้งสามารถกลบโลกได้มิด โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมาโลกได้รับลำอนุภาคนี้ ส่งผลให้การสื่อสารขัดข้องและสำนักข่าวบีบีซีได้ออกป ระกาศเตือนถึงเรื่องนี้ ด้วย

- จุดมืด (sunspots) เป็นจุดดำบนดวงอาทิตย์ ค้นพบครั้งแรกเมื่อประมาณ 400 ปีก่อนโดย กาลิเลโอ กาลิเลอิ (Galileo Galilei) หลังจากเขาประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์แล้วส่องขึ้นไปบนฟ้ า โดยที่ยังไม่ทราบว่าการส่องดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่านั้ นเป็นอันตราย ข้อ ดีของจุดมืดคือทำให้ทราบว่าดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเ อง และจุดมืดนี้มีหลายจุดเพิ่มขึ้น-ลดลงอยู่เสมอ