04 กรกฎาคม 2552

อนาถปิณฑิกเศรษฐี



ชื่อ จริง ของอนาถปิณฑิกเศรษฐี คือ สุทัตตะ ตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ เขายังไม่รู้จัก วันหนึ่งเดินทางไปหาเพื่อนที่กรุงราชคฤห์ พอไปถึงบ้านเห็นเพื่อนกำลังสั่งคนงานทำนู่น ทำนี่ จึงถามว่ามีงานอะไร เพื่อนบอกว่า พรุ่งนี้ได้อาราธนาพระพุทธเจ้ามาเสวยที่บ้าน สุทัตตะพูดขึ้นว่า “โอ้ พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกแล้วหรือนี่” สุทัตตะรีบเสนอออกเงิน ค่าอาหารเลี้ยงพระ แต่เพื่อนไม่ยอม

สุ ทัตตะ มีความปีติซาบซ่านไปหมด แค่ได้ยินคำว่าพระพุทธเจ้า ก็คิดว่าจะต้องไปเฝ้าให้ได้ แต่ค่ำมืดแล้วต้องรอให้สว่างก่อน คืนนั้นผวาตื่น 3 ครั้ง เพราะคิดว่าเช้าแล้ว พอก่อนเช้าจึงรีบออกไป ก็ไปอ้อนวอน คนเฝ้าประตูให้เปิด ตอนนั้นพระพุทธเจ้าอยู่ที่ สีตะวัน เป็นทางเปลี่ยว แต่ก็ไม่กลัว เพราะอยากไปหาพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าจะทรงแผ่ข่ายพระ ญาณ ไปดูว่าวันนี้ควรจะโปรดใคร แล้วก็เห็นสุทัตตะว่าจะได้บรรลุธรรม ก็ทรงคอยอยู่ เมื่อเขามาถึง ทรงตรัสว่า “เข้ามาเถิดสุทัตตะ ตถาคตอยู่นี่”


สุทัตตะเป็นปลื้มมาก ที่ทรงตรัสเรียกโดยไม่รู้จักกันมาก่อน แล้วกราบทูลว่า “เป็นโชคดีของข้าพเจ้ายิ่งแล้วที่ได้มาเฝ้าพระองค์สม ปรารถนา ข้าพเจ้ารอคอยจนพระองค์เสด็จเพื่อเสวยอาหารไม่ไหว ต้องออกมาเฝ้าก่อน” แล้วทูลว่า “เมื่อคืนนี้ราตรียาวนานเหลือเกิน หม่อมฉันรู้สึกเหมือนเดือนหนึ่ง เป็นเวลานานเหลือเกินที่สัตว์โลกจะได้สดับคำว่า พุทโธ พุทโธ”


พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูก่อน สุทัตตะ ผู้ตื่นอยู่มิได้หลับ ย่อมรู้สึกว่าราตรีหนึ่งยาวนาน ผู้ที่เดินทางจนเมื่อยล้าแล้ว รู้สึกว่าโยชน์หนึ่งเป็นหนทางที่ยืดยาว แต่สังสารวัฎ คือ การเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ผู้ไม่รู้ พระสัทธรรม ยังยาวนานกว่านั้น


“สังสารวัฎนี้ หาเบื้องต้นเบื้องปลายได้โดยยาก สัตว์ผู้พอใจความเกิดย่อมเกิดบ่อยๆ และการเกิดบ่อยๆ นั้นเป็นความทุกข์ เพราะสิ่งที่ติดตามมา คือ ความชรา ความเจ็บ และความตาย มีการต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก และต้องประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก ความแห้งใจ ความคร่ำครวญ ความทุกข์กายทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ อุปมาเหมือนเห็ดที่โผล่ขึ้นมาจากดิน ก็ต้องนำดินติดขึ้นมาด้วย หรืออุปมาเหมือนโคซึ่งเทียมเกวียนแล้วจะเดินไปไหนก็ม ีเกวียนติดตามไปทุกแห่ง


สัตว์โลกเกิดมามีทุกข์ประจำตัว ตราบใดที่เขายังไม่สลัดความพอใจในสังขารออกไป ความทุกข์ติดตามอยู่เสมอเหมือนล้อเกวียน ที่ต้องตามโคไปทุกฝีก้าว


แม้ต้นไม้จะถูกตัดแล้ว แต่รากยังมั่นคง ก็สามารถขึ้นได้อีก เช่นเดียวกัน เมื่อบุคคล ยังไม่ถอนตัณหานุสัยออกไปจากใจ ความทุกข์ก็เกิดได้บ่อยๆ


น้ำตาของสัตว์ผู้ต้องร้องไห้ เพราะความทุกข์โทมนัสทับถม ในขณะที่ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฎนี้มีมากเหลือคณา บอกไม่ได้เลยว่ามีเท่าไหร่ กระดูกคนตายถ้าเอามารวมกันหมดคงกองสูงเท่าภูเขา บนแผ่นดินนี้ไม่มี ตรงไหนเลยที่ไม่เคยมีคนตาย แต่แผ่นดินนี้กลับเกลื่อนกลาดไปด้วยกระดูกของสัตว์ ที่ตายแล้วตายเล่า ทุกย่างก้าวของคนเราเหยียบย่ำไปบนกองกระดูก นั่งนอนบนกองกระดูก เพลิดเพลินสนุกนานอยู่บนกองกระดูกทั้งสิ้น ไม่ว่าภพไหนๆ ล้วนมีลักษณะเหมือนกองไฟ คือสัตว์ทั้งหลายดิ้นรนอยู่ในความทุกข์ เหมือนเต่าที่เขาโยนลงในกองไฟทั้งสิ้น”


พระพุทธเจ้าตรัสในตอนสุดท้ายว่า “การได้เกิดเป็นคนเป็นของยาก การดำรงชีวิตอยู่ของสัตว์ทั้งหลายก็เป็นของยาก การได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ คือ คนดี ก็เป็นของยาก การอุบัติเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า ก็เป็นของยาก ฉะนั้นการแสดงธรรมของ สัตบุรุษ การเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า ล้วนเป็นเหตุนำความสุขความสงบมาสู่โลก”


แล้วสุทัตตะก็บรรลุธรรม เป็นพระโสดาบันทันที


.................................................. .......................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น